จุดพลุ! ‘นายกฯ’ ประเดิมแลนดิ้งไฟลท์ปฐมฤกษ์ ‘กรุงเทพฯ-เบตง’ เล็งทุ่มงบ 1,871 ล้าน อัพเกรดสนามบิน รองรับเครื่องบินไซส์ใหญ่
ฤกษ์ดี! 14 มี.ค. 65 “นายกฯ” ประธานเปิดไฟลท์บินเชิงพาณิชย์ “กรุงเทพฯ–เบตง” พัฒนาขนส่ง 3 จังหวัดชายแดนใต้ ด้าน “ศักดิ์สยาม” หนุนเปิดเส้นทางระหว่างประเทศ ดันไทยสู่ฮับการบินในภูมิภาค ฟาก ทย. กางแผนเปิด 3 เส้นทางบินเพิ่ม เผย “บางกอกแอร์เวย์ส” สนใจ พร้อมเตรียมทุ่มงบ 1,871 ล้าน ขยายรันเวย์–ทางขับ–ลานจอด รองรับเครื่องบินไซส์ใหญ่
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีเปิดเที่ยวบินพาณิชย์ปฐมฤกษ์ ท่าอากาศยานเบตง วันนี้ (14 มี.ค. 2565) ว่า เบตงเป็นอำเภอใต้สุดของประเทศไทยติดกับชายแดนของประเทศมาเลเซีย ถือเป็นเมืองชายแดนที่มีการเคลื่อนไหวทางธุรกิจและการค้าขายสูง ประกอบกับมีการผสมผสานทางวัฒนธรรม เช่น ขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ รวมถึงภาษาที่หลากหลาย และธรรมชาติมีความสวยงามทำให้ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศเป็นจำนวนมาก
ทั้งนี้ รัฐบาลได้มอบให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการพัฒนาระบบการขนส่งของพื้นที่ จ.ยะลา โดยการพัฒนาบริการขนส่งและโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพและได้มาตรฐานสากล รวมทั้งพัฒนาด่านศุลกากรชายแดน ศูนย์เศรษฐกิจชายแดนและการอำนวยความสะดวกผ่านแดนที่รวดเร็ว ตลอดจนผลักดันการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการขนส่งทางบกและทางอากาศ เพื่อให้เกิดระบบขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ สามารถรองรับการค้าและการลงทุนที่จะสูงขึ้นจากการเป็นประชาคมอาเซียน
ด้านนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า การเปิดให้บริการท่าอากาศยานเบตงนั้น เพื่อพัฒนาระบบการขนส่งในพื้นที่จังหวัดยะลา กระตุ้นเศรษฐกิจและความมั่นคง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แก้ไขปัญหาการเดินทางสู่ อ.เบตง ที่มีสภาพภูมิประเทศเป็นภูเขาสูงชัน ไม่สะดวกต่อการเดินทาง ให้สามารถสัญจรไปมาได้อย่างสะดวกปลอดภัยมากยิ่งขึ้น รวมทั้งกระตุ้นการท่องเที่ยวในพื้นที่ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน”
ทั้งนี้ ทย. จึงได้ดำเนินโครงการก่อสร้างท่าอากาศยานเบตง ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 6 ต.ค. 2558 และนโยบายการพัฒนา 14 จังหวัดภาคใต้ โดยได้รับใบรับรองการดำเนินงานสนามบินสาธารณะจากสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) เมื่อวันที่ 28 ม.ค. 2565 ซึ่งมีความพร้อมให้บริการตามมาตรฐาน ถือเป็นการเพิ่มศักยภาพการพัฒนาทางดานเศรษฐกิจ สังคม และการทองเที่ยว เนื่องจาก อ.เบตงมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ก่อให้เกิดรายได้ให้กับจังหวัด รองจาก อ.เมืองยะลา
นายศักดิ์สยาม กล่าวอีกว่า ท่าอากาศยานเบตง เริ่มให้บริการเที่ยวบินพาณิชย์แรก โดยสายการบินนกแอร์ เส้นทางกรุงเทพฯ–เบตง–กรุงเทพฯ ในวันนี้ (14 มี.ค. 2565) ซึ่งเส้นทางการบินและการขึ้น–ลงของอากาศยาน จะอยู่ในน่านฟ้าของประเทศไทยเท่านั้น นอกจากเส้นทางให้บริการภายในประเทศแล้ว ท่าอากาศยานเบตง ยังมีความพร้อมที่จะมุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค (Regional Hub) ในเส้นทางระหว่างประเทศไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ในอนาคตด้วย
ขณะที่นายปริญญา แสงสุวรรณ อธิบดีกรมท่าอากาศยาน (ทย.) กล่าวว่า สำหรับการให้บริการท่าอากาศยานเบตงสามารถรองรับผู้โดยสาร 800,000 คนต่อปี หรือชั่วโมงละ 300 คน โดยในอนาคต คาดว่า จะมีการเพิ่มเที่ยวบิน 2 เส้นทาง ได้แก่ เส้นทางกรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ)-เบตง และหาดใหญ่–เบตง จากเดิมที่มีเฉพาะเส้นทางดอนเมือง–เบตงนอกจากนี้ ทย.มีแผนและความพร้อมที่จะเปิดให้บริการเส้นทางระหว่างประเทศอีก 1 เส้นทาง คือ เบตง–มาเลเซีย โดยขึ้นอยู่กับภาครัฐเป็นผู้พิจารณาต่อไป
ทั้งนี้ เส้นทางหาดใหญ่–เบตง คาดว่าจะได้เห็นการเปิดให้บริการภายในปี 2565 โดยหากสามารถดำเนินการได้จะส่งผลดีต่อพื้นที่ เพราะห่างจากชายแดนมาเลเซียประมาณ 20 กิโลเมตร (กม.) สามารถรองรับชาวมาเลเซีย โดยเฉพาะรัฐเคดะห์ และรัฐเปรัก ที่มีประชากรประมาณ 4.2 ล้านคน ซึ่งจะช่วยให้อุตสาหกรรมการบินกลับมารับผู้โดยสารได้มากขึ้น
ส่วนท่าอากาศยานเบตงจะถึงจุดคุ้มทุนที่ไม่ต้องใช้เงินอุดหนุนจากภาครัฐได้เมื่อไหร่นั้น นายปริญญา กล่าวว่า ทย.จะประเมินว่าหลังจากนี้อีก 6 เดือน โดยจะได้ความชัดเจนว่า ท่าอากาศยานเบตงจะอยู่ได้หรือไม่ แต่เชื่อว่า จะสามารถดำเนินการต่อไปได้ ขณะที่ สายการบินที่มาทำการบินยังท่าอากาศยานเบตง เชื่อว่า จะถึงจุดคุ้มทุนได้แน่นอน นอกจากนี้ เบื้องต้นทราบว่า ขณะนี้ สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส มีความสนใจในการเปิดทำการบินใหม่ในเส้นทางสุวรรณภูมิ-เบตง ปัจจุบัน ทย.ได้รับรายงานว่าสายการบินฯ อยู่ระหว่างการศึกษาจำนวนผู้โดยสารและจุดคุ้มทุน
ขณะเดียวกัน ทย.มีแผนที่จะดำเนินโครงการก่อสร้างขยายทางวิ่ง (รันเวย์) จาก 1,800 เมตร เป็น 2,500 เมตร ทางขับลานจอดเครื่องบิน และส่วนประกอบอื่นๆ วงเงินรวมประมาณ 1,871 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างออกแบบและขออนุมัติโครงการ เพื่อเสนอจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) โดยคาดว่า จะสามารถดำเนินการได้ภายในปี 2565 นี้ หลังจากนั้นจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างภายใน 3 ปี หากดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ คาดว่าจะสามารถรองรับเครื่องบินขนาดใหญ่ หรือขนาด 737-800 และขนาดเครื่องบิน A-320