‘มนต์ทรานสปอร์ต’ ผนึกกำลัง NEX ลุยใช้ ‘รถหัวลากไฟฟ้า’ ขนส่งสินค้าให้ภาคอุตสาหกรรม แก้ปัญหาราคาน้ำมันแพง
“มนต์ทรานสปอร์ต” จับมือ NEX ประกาศศักดาผู้นำสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้า ลุยนำรถหัวลากพลังงานไฟฟ้ามาใช้ขนส่งสินค้าให้กับภาคอุตสาหกรรมแทนรถบรรทุกเดิม หลังราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น มั่นใจเซฟต้นทุน–ลดมลพิษ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (13 ธ.ค. 2564) บริษัทเน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NEX ได้ร่วมมือ “การทดสอบยานยนต์หัวลากไฟฟ้า” กับบริษัท มนต์ทรานสปอร์ต, บริษัท อมิตา เทคโนโลยี (ประเทศไทย), บริษัท พลังงานมหานครจำกัด และบริษัท สยามมิชลิน จำกัด เพื่อทำการทดสอบยานยนต์หัวลากไฟฟ้า สำหรับนำไปใช้ในการขนส่งสินค้าทดแทนรถบรรทุกที่ใช้น้ำมันดีเซล
นายคณิสสร์ ศรีวชิระประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากสถานการณ์ราคาน้ำมันที่มีการปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อการขนส่งสินค้าอุปโภค บริโภค ร่วมไปถึงสินค้าเกษตร ฯลฯ เป็นเหตุให้ทางสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย และสมาคมขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย รวมตัวเรียกร้องให้รัฐบาลหาทางช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน
ทั้งนี้ ท้ายที่สุดแล้วข้อเสนอต่างๆ ไม่ได้รับการตอบสนองจากทางภาครัฐ ส่งผลให้ภาคเอกชนต้องพยายามหาทางเอาตัวรอดกับวิกฤตน้ำมันที่เกิดขึ้น ทางบริษัทมนต์ทรานสปอร์ต ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านการขนส่งสินค้าให้กับภาคอุตสาหกรรม จึงขอเป็นผู้นำในการแก้ปัญหาดังกล่าวด้วยการนำรถหัวลากไฟฟ้าไปใช้ในการขนส่งสินค้าแทนรถบรรทุกเดิมที่ใช้งานอยู่
วันนี้ถือเป็นวันดีเดยที่นำมาสู่การจับมือร่วมกันระหว่าง NEX มนต์ทรานสปอร์ต อมิตา อีเอ เอนี่แวร์ และสยามมิชลินเพื่อผลักดันให้มีการนำรถหัวลากพลังงานไฟฟ้ามาใช้ในการขนส่งของภาคอุตสาหกรรมอย่างเป็นรูปธรรม โดยจะมีทดสอบรถด้วยการนำไปใช้งานจริง ก่อนที่จะนำไปสู่การสั่งล็อตซื้อใหญ่ ซึ่งในสถานการณ์ที่ราคาน้ำมันยังคงปรับสูงขึ้น การนำรถหัวลากไฟฟ้าไปใช้ในการขนส่งสินค้าจะช่วยลดต้นทุนค่าน้ำมัน รวมทั้งเซฟค่าใช้จ่ายในเรื่องของการดูแลรักษา และนอกจากจะเป็นการแก้ปัญหาวิกฤตราคาน้ำมันแล้ว ยังจะเป็นการตอบโจทย์ในเรื่องของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เพราะรถหัวลากไฟฟ้าเป็นรถพลังงานสะอาดที่ไม่สร้างมลพิษ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม”
นายคณิสสร์กล่าว
ด้าน ดร.วิกรม จารุพงศา กรรมการบริหาร บริษัทมนต์โลจิสติกส์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า ในเบื้องต้นทางบริษัทฯจะทดสอบการใช้ก่อนและมีแผนว่าจะซื้อรถพลังงานไฟฟ้ามาใช้จำนวนมาก ซึ่งอยู่ที่ระยะเวลาด้วยว่ารถพลังงานไฟฟ้าจะพัฒนาได้ระดับไหน เพราะยังมีองค์ประกอบอื่นๆ อาทิ แบตเตอรี่ แต่โชคดีที่มีพันธมิตร คือ อมิตา ในการพัฒนาแบตเตอรี่ที่จะช่วยทำให้ความสามารถของแบตเตอรี่ดีขึ้น ชาร์จได้เร็วขึ้น ความจุมากขึ้นและน้ำหนักของแบตเตอรี่เบาลง
ขณะที่ ระบบการชาร์จไฟก็มี EA Anywhere เข้าร่วมด้วย จะทำให้สามารถนำรถหัวลากไฟฟ้าไปใช้ประโยชน์ได้จริงและกระจายไปได้ทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังมีมิชลินที่เข้ามาดูแลเรื่องของยาง เพราะรถหัวลากไฟฟ้าใช้ยางมากกว่ารถน้ำมัน ดังนั้นต้องมีนวัตกรรมเกี่ยวกับยางที่ดีด้วย
ความร่วมมือที่เกิดขึ้นเป็นความต้องการที่จะทำให้มีการนำรถพลังงานไฟฟ้ามาใช้ได้จริงในอุตสาหกรรมการขนส่งเพราะประเทศไทยใช้น้ำมันดีเซลวันละ 65 ล้านลิตร และส่วนใหญ่ถูกใช้ด้วยรถทางการพาณิชย์ ดังนั้นจึงอยากจะผลักดันให้มีการใช้รถพลังงานไฟฟ้าเกิดขึ้นอย่างจริงจัง เพราะประเทศไทยเข้าร่วมสู่ยุทธศาสตร์ในการลดก๊าซเรือนกระจกและรถพลังงานไฟฟ้าจะเป็นตัวหลักที่จะช่วยในเรื่องนี้ ซึ่งข้อดีของรถ EV คือ ไม่ใช้พลังงานน้ำมันดังนั้นจะไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก ประหยัดในเรื่องของการซ่อมบำรุง ฯลฯ แต่ก็ยังมีเรื่องอื่นๆ ที่ต้องทำให้เหมาะสมควบคู่กันไป อาทิราคาขายที่เหมาะสม ระยะทางในการวิ่ง ลดเวลาในการชาร์จไฟ ถ้าทั้งหมดเกิดขึ้นได้จะช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมขนส่งใช้รถ EV มากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้ในปริมาณที่มากพอ” ดร.วิกรม กล่าว