Krungthai COMPASS ประเมินผลกระทบจากการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดขึ้นและอาจลากยาวในช่วงครึ่งหลังของปี 2021 ต่อกลุ่มธุรกิจร้านอาหารและธุรกิจวัตถุดิบอาหาร โดยคาดว่าจะก่อให้เกิดมูลค่าความเสียหายรวมประมาณ 130,000-259,600 ล้านบาท โดยการประเมินมูลค่าความเสียหายแบ่งออกเป็น 3 กรณี ได้แก่ 1)หากสิ้นสุดล็อกดาวน์ ณ 31 ส.ค. และควบคุม 29 จังหวัด จะมีมูลค่าความเสียหายประมาณ 130,000 ล้านบาท 2)หากสิ้นสุดล็อกดาวน์ ณ 30 ก.ย. และควบคุม 29 จังหวัด จะมีมูลค่าความเสียหายประมาณ 198,300 ล้านบาท และ 3) หากสิ้นสุดล็อกดาวน์ ณ 30 ก.ย.และขยายมาตรการกึ่งล็อกดาวน์ไปสิ้นสุด ณ 31 ต.ค. ซึ่งอาจครอบคลุมทั่วประเทศ จะมีมูลค่าความเสียหายประมาณ 259,600 ล้านบาทธุรกิจร้านอาหารในช่วงที่เหลือของปีนี้ยังประสบความลำบาก อย่างไรก็ดี การปรับตัวสู่ Cloud Kitchen เป็นทางรอดหนึ่งที่จะช่วยพยุงกิจการ ส่วนธุรกิจวัตถุดิบอาหารอาจบรรเทาความเสียหาย โดย การแปรรูปอาหารหรือจำหน่ายอาหารออนไลน์ ทั้งนี้ ภาครัฐควรให้ความช่วยเหลือแก่ทั้งสองธุรกิจนี้เพิ่มเติม ซึ่งในปัจจุบันมีมาตรการออกมาบ้างแล้ว แต่อาจยังไม่เพียงพอต่อการเยียวยาความเสียหายที่ประเมิน
นิรัติศัย ทุมวงษา และจารุวรรณ เหล่าสัมฤทธิ์ Krungthai COMPASS กล่าวว่า เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2021 ที่ผ่านมา ภาครัฐได้ประกาศปลดล็อกให้ร้านอาหารในห้างสรรพสินค้ากลับมาเปิดให้บริการแล้ว แต่ยังเข้มงวดให้มีการติดต่อและสัมผัสกับผู้บริโภคน้อยที่สุด[1] ซึ่งเป็นการผ่อนคลายจากมาตรการก่อนหน้านี้ที่ภาครัฐสั่งปิดร้านอาหารในห้างสรรพสินค้าในช่วงวันที่ 20 ก.ค. – 2 ส.ค. ยิ่งไปกว่านี้ ภาครัฐยังได้ยกระดับความเข้มงวดโดยการขยายพื้นที่ที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดเป็น 29 จังหวัด จากมาตรการก่อนหน้านี้ที่มีเพียง 13 จังหวัด[2] อีกทั้ง ภาครัฐได้ขยายระยะเวลาล็อกดาวน์ออกไปเป็น 31 ส.ค. จากเดิม 2 ส.ค. [3]ซึ่งเป็นการซ้ำเติมธุรกิจร้านอาหารต่อจากมาตรการกึ่งล็อกดาวน์ที่บังคับใช้เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.–19 ก.ค. มาตรการทั้งหมดข้างต้น เปรียบเป็นพายุลูกใหม่ที่จะสร้างความเสียหายแก่ธุรกิจร้านอาหารที่พยายามประคับประคองกิจการอย่างยากลำบากในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา หลังเกิดวิกฤตโควิด-19
หากพิจารณาจากผลประกอบการของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ของธุรกิจร้านอาหารในไตรมาสที่ 2/2020 พบว่าหดตัวลึกถึง 49.2%YoY (รูปที่ 1) ทั้งนี้ ผลประกอบการที่แย่เช่นนี้อาจเกิดขึ้นในไตรมาสที่ 3/2021 หรือต่อเนื่องไปถึงสิ้นปี 2021 หากไทยไม่สามารถควบคุมการระบาดของโควิด-19 ให้คลี่คลายลงได้ นอกจากรายได้และสภาพคล่องทางการเงินของธุรกิจร้านอาหารที่หายไปมากแล้ว ร้านอาหารหลายรายยังมีโอกาสที่จะปิดกิจการ ทั้งนี้ ทางสมาคมภัตตาคารไทย เปิดเผยว่าจำนวนร้านอาหารโดยรวมในไทยมีอยู่ประมาณ 550,000 ราย ซึ่งคาดว่าปิดกิจการแล้ว 50,000 ราย ก่อนที่มีมาตรการกึ่งล็อกดาวน์ที่เริ่มเมื่อ 28 มิ.ย. และประเมินว่าน่าจะมีอีก 50,000 ราย ที่เตรียมจะปิดกิจการแบบชั่วคราวและถาวร หากไม่ได้รับการเยียวยาจากภาครัฐภายในเดือน ก.ค. 2021[4]
[1] ตามพ.ร.ก. บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 30) ณ 1 ส.ค. ระบุให้ร้านอาหารในห้างสรรพสินค้าจำหน่ายเฉพาะในรูปแบบการสั่งอาหารหรือเครื่องดื่มผ่านการบริการขนส่งอาหาร (Food Delivery Service) เท่านั้น แต่เมื่อวันที่ 5 ส.ค. ภาครัฐได้ผ่อนคลายมาตรการนี้ โดย (1)อนุญาตให้ผู้บริโภคสั่งอาหารผ่าน Food Delivery (2)อนุญาตให้ผู้บริโภคโทรสั่ง/สั่งซื้อจากร้าน และรับสินค้าได้เฉพาะจุดพักคอยของห้างสรรพสินค้า และ (3)อนุญาตให้ร้านอาหารวางจำหน่ายอาหาร ณ จุดที่จัดเตรียมพื้นที่ไว้ไห้ภายใน/บริเวณซูเปอร์มาร์เก็ต
[2] พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดมีจำนวน 13 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ฉะเชิงเทรา ชลบุรี นครปฐม นนทบุรี นราธิวาส ปทุมธานี ปัตตานี พระนครศรีอยุธยา ยะลา สงขลา สมุทรปราการ และสมุทรสาคร แต่ปัจจุบัน ภาครัฐได้ขยายพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดเพิ่มเติมอีกจำนวน 16 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี ตาก นครนายก นครราชสีมา ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี เพชรบุรี เพชรบูรณ์ ระยอง ราชบุรี ลพบุรี สิงห์บุรี สมุทรสงคราม สระบุรี สุพรรณบุรี และอ่างทอง รวมทั้งสิ้นเป็น 29 จังหวัด ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 3 – 31 ส.ค. [3] มาตรการคุมการระบาดโควิด-19 ที่ใช้บังคับเมื่อ 3 ส.ค. จะสิ้นสุด 31 ส.ค. แต่ให้ประเมินสถานการณ์ทุกห้วง 14 วัน ซึ่งหากดีขึ้นจะผ่อนคลายล็อกดาวน์ [4] จากข่าวกรุงเทพธุรกิจ (https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/943319, 14 มิ.ย. 2021)
ธุรกิจร้านอาหารจะมีมูลค่าความเสียหายเท่าไหร่ หากล็อกดาวน์ลากยาว
จากตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่รายวันที่แตะระดับ New High ที่มีจำนวนราว 2 หมื่นรายต่อวัน [1]มานาน 1 สัปดาห์ สะท้อนให้เห็นถึงการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ที่กลับมารุนแรง ประกอบกับความล่าช้าของการกระจายและฉีดวัคซีน ทำให้ภาครัฐมีแนวโน้มที่จะมีมาตรการที่เข้มงวดขึ้นในระยะต่อไปจากมาตรการในปัจจุบันที่จะสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ส.ค. 2021 ทั้งด้านการขยายระยะเวลาล็อกดาวน์และการขยายพื้นที่ที่ควบคุมสูงสุด
โดย Krungthai COMPASS มองว่ามีความเป็นไปได้ที่ภาครัฐอาจขยายเวลาล็อกดาวน์เพิ่มอีก 1 เดือน ไปสิ้นสุด ณ วันที่ 30 ก.ย. 2021 และในกรณีที่แย่สุด ภาครัฐอาจขยายมาตรการกึ่งล็อกดาวน์เพิ่มเติมอีก 1 เดือน ไปสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ต.ค. 2021 รวมถึงอาจมีการควบคุมพื้นที่ทุกจังหวัดทั่วประเทศ จากปัจจุบันมีพื้นที่ที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 29 จังหวัด
ทั้งนี้ มุมมองการขยายเวลาล็อกดาวน์เพิ่มไปสิ้นสุดเดือน ก.ย. เป็นแนวคิดที่สอดคล้องกับรายงานการคาดการณ์ภาวะการระบาดของโควิด-19 จากกองระบาดวิทยา กระทรวงสาธารณสุข ที่ประเมินไว้ว่า หากล็อกดาวน์ 1 เดือน (เริ่ม 19 ก.ค. 2021) จะช่วยชะลอให้จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวัน ณ ระดับสูงสุดออกไปเป็นเดือน ต.ค. และหากล็อกดาวน์นาน 2 เดือน จะช่วยชะลอให้จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวัน ณ ระดับสูงสุดออกไปเป็นเดือน พ.ย. โดยในกรณีล็อกดาวน์ 2 เดือน อาจทำให้จุดสูงสุดของจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวันจะต่ำกว่าในกรณีล็อกดาวน์ 1 เดือน
ธุรกิจร้านอาหารจะมีมูลค่าความเสียหายเท่าไหร่ หากล็อกดาวน์ลากยาว
จากแนวโน้มของมาตรการที่เข้มงวดมากขึ้น Krungthai COMPASS จึงได้ประเมินความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับธุรกิจร้านอาหารในครึ่งปีหลัง 2021 ซึ่งรวมผลกระทบจาก 1)รายได้ที่จะสูญเสียไปของธุรกิจร้านอาหารที่ยังสามารถเปิดได้อยู่ หลังมีมาตรการล็อกดาวน์ และ 2)รายได้ที่จะหายไปจากร้านอาหารที่มีโอกาสปิดกิจการ ทั้งแบบชั่วคราวและแบบถาวรในครึ่งปีหลัง 2021 (ไม่รวมผลกระทบจากร้านอาหารที่ปิดกิจการไปแล้วก่อนมีมาตรการกึ่งล็อกดาวน์เมื่อ 28 มิ.ย.2021)
ทั้งนี้ คาดว่ามูลค่าความเสียหายของธุรกิจร้านอาหารโดยรวมในครึ่งปีหลัง 2021 จะอยู่ที่ประมาณ 107,500-214,600 ล้านบาท หรือหายไป 22-44% ของรายได้ร้านอาหารโดยรวมในปี 2019 ซึ่งแบ่งเป็น 3 กรณี (รูปที่ 3) ได้แก่
กรณีที่ 1 หากสิ้นสุดล็อกดาวน์ ณ 31 ส.ค. และมีพื้นที่ที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 29 จังหวัด คาดว่ามูลค่าความเสียหายโดยรวมจะอยู่ที่ประมาณ 107,500 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้เป็นรายได้ที่จะหายไปจากร้านอาหารที่เตรียมจะปิดกิจการราว 50,000 ราย[2]
กรณีที่ 2 หากสิ้นสุดล็อกดาวน์ ณ 30 ก.ย. และมีพื้นที่ที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 29 จังหวัด คาดว่ามูลค่าความเสียหายโดยรวมจะอยู่ที่ประมาณ 164,000 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้เป็นรายได้ที่จะหายไปจากร้านอาหารที่เตรียมจะปิดกิจการราว 75,000 ราย
กรณีที่ 3 หากสิ้นสุดล็อกดาวน์ ณ 30 ก.ย.และขยายมาตรการกึ่งล็อกดาวน์ไปสิ้นสุด ณ 31 ต.ค. โดยจะบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ทั่วประเทศ ซึ่งคาดว่ามูลค่าความเสียหายโดยรวมจะอยู่ที่ประมาณ 214,600 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นรายได้ที่จะหายไปจากร้านอาหารที่เตรียมจะปิดกิจการราว 100,000 ราย
สำหรับการขายอาหารผ่านแอปพลิเคชัน Food Delivery เป็นทางเลือกหนึ่งที่ช่วยแก้ปัญหาให้แก่ธุรกิจร้านอาหาร หลังจากมีมาตรการล็อกดาวน์ที่สั่งห้ามจำหน่ายอาหารหน้าร้าน แต่โดยรวมอาจสร้างรายได้เพียงช่วยพยุงกิจการให้คงอยู่ เนื่องจากกลยุทธ์นี้์อาจไม่เหมาะกับร้านอาหารบางประเภท อาทิ ร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ และร้านอาหาร Fine Dining (ร้านอาหารที่มีคุณภาพระดับสูงและบรรยากาศดี) นอกจากนี้ สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่รุนแรงในปัจจุบัน อาจส่งผลให้ผู้บริโภคหลีกเลี่ยงการสั่งอาหารจากร้าน แล้วหันมาประกอบอาหารเองที่บ้านมากขึ้น
เมื่อพิจารณารายได้ของร้านอาหารจากการขายผ่าน Food Delivery ในปี 2020 ซึ่งธุรกิจนี้ได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์เช่นกัน พบว่ามีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 20%[3]จากปี 2019 อยู่ที่ 10% ของรายได้รวมธุรกิจร้านอาหาร แต่ก็ยังมีสัดส่วนที่น้อย นอกจากนี้ ผู้ประกอบการร้านอาหารมักมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากการจ่ายค่า GP หรือ Gross Profit ซึ่งเป็นค่าดำเนินการที่แอปพลิเคชัน Food Delivery จะเรียกเก็บจากร้านอาหาร คิดเป็นประมาณ 20-30% ของยอดขาย จึงกดดันให้ธุรกิจร้านอาหารแทบจะไม่มีกำไรในระยะนี้
เมื่อไหร่ธุรกิจร้านอาหารจะฟื้นตัว
ผลกระทบจากการคุมการระบาดของโควิด-19 ที่ยืดเยื้อ ทำให้ธุรกิจร้านอาหารต้องปรับตัวอย่างหนัก เพื่อให้สามารถพยุงกิจการต่อให้ผ่านวิกฤตนี้ไปได้ แม้ว่าสถานการณ์การระบาดของไวรัสจะบรรเทาลง แต่ Krungthai COMPASS มองว่าธุรกิจร้านอาหารในไทยคงต้องใช้ระยะเวลาในการฟื้นตัวอย่างน้อย 2 ปี
ทั้งนี้ มีสาเหตุหลักจาก 3 ปัจจัย คือ 1) การท่องเที่ยวระหว่างประเทศทั่วโลกที่คาดว่าจะกลับมาสู่ระดับเดียวกับปี 2019 ได้ ในปี 2023[4] ซึ่งสอดคล้องกับการเดินทางทางอากาศทั่วโลกที่ International Air Transport Association (IATA) ประเมินว่าจะกลับสู่ระดับเดิมก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 ได้ ในปี 2023 เช่นกัน 2) กำลังซื้อของผู้บริโภคในไทยจะยังเปราะบางและอาจต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวอีก 1-2 ปี เนื่องจากผลกระทบจากภาคธุรกิจโดยรวมที่แย่ลง จนส่งผลให้แรงงานส่วนหนึ่งถูกเลิกจ้าง หรือได้รับค่าจ้างที่ลดลง จะส่งผลต่อเนื่องให้กำลังซื้อของผู้บริโภคฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป และ 3) ภาระหนี้ของธุรกิจร้านอาหารที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน อาจเหนี่ยวรั้งให้ธุรกิจร้านอาหารฟื้นตัวในระยะข้างหน้าได้ช้า โดย ณ สิ้นไตรมาสแรกของปี 2021 ยอดสินเชื่อของธุรกิจร้านอาหารจากทั้งระบบธนาคารพาณิชย์ อยู่ที่ 34,698 ล้านบาท เทียบกับปี 2019 อยู่ที่ 27,544 ล้านบาท หรือขยายตัวถึง 26% [5]
ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับร้านอาหารจะมีมูลค่าความเสียหายเท่าไหร่ หากร้านอาหารปิดหน้าร้านเป็นเวลานาน
คงปฏิเสธได้ยากว่า มาตรการล็อกดาวน์ไม่เพียงทำให้ธุรกิจร้านอาหารเกิดความเสียหายเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่องด้วย โดยเฉพาะธุรกิจวัตถุดิบอาหาร ซึ่งมีสัดส่วนที่ 21% ของรายได้ร้านอาหารโดยรวม[6] ทั้งนี้ Krungthai COMPASS ประเมินว่าการสูญเสียรายได้ของธุรกิจร้านอาหาร จะส่งผลให้รายได้ของกลุ่มธุรกิจวัตถุดิบอาหารมีแนวโน้มสูญเสียตามไปด้วย ประมาณ 22,500 – 45,000 ล้านบาท ในช่วงครึ่งปีหลัง 2021
สำหรับประเภทของวัตถุดิบที่จะกระทบหนักสุดคือ กลุ่มเนื้อสัตว์ เนื่องจากมีสัดส่วนการผลิตสูงถึง 50% ของต้นทุนวัตถุดิบทั้งหมด ซึ่งอาจส่งผลให้มีมูลค่าความเสียหายที่ประมาณ 11,300-22,500 ล้านบาท รองลงมาคือ กลุ่มผักและผลไม้ ซึ่งเก็บรักษาได้ยาก โดยคาดว่าจะมีมูลค่าความเสียหายที่ราว 6,000-12,200 ล้านบาท และลำดับถัดมา คือกลุ่มข้าวและธัญพืช คาดว่าจะมีมูลค่าความเสียหายที่ราว 2,300-4,500 ล้านบาท
โดยสรุป มูลค่าความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่ทั้งกลุ่มธุรกิจร้านอาหารและธุรกิจวัตถุดิบอาหาร จะอยู่ที่ประมาณ 130,000-259,600 ล้านบาท ในช่วงครึ่งหลังของปี 2021 โดยผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดมากขึ้นในแต่ละกรณี ได้แก่
กรณีที่ 1 หากสิ้นสุดล็อกดาวน์ ณ 31 ส.ค. และมีพื้นที่ที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 29 จังหวัด คาดว่ามูลค่าความเสียหายของธุรกิจร้านอาหารและธุรกิจวัตถุดิบอาหาร อยู่ที่ประมาณ 130,000 ล้านบาท
กรณีที่ 2 หากสิ้นสุดล็อกดาวน์ ณ 30 ก.ย. และมีพื้นที่ที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 29 จังหวัด คาดว่ามูลค่าความเสียหายของธุรกิจร้านอาหารและธุรกิจวัตถุดิบอาหาร อยู่ที่ประมาณ 198,300 ล้านบาท
กรณีที่ 3 หากสิ้นสุดล็อกดาวน์ ณ 30 ก.ย.และขยายกึ่งล็อกดาวน์ไปสิ้นสุด ณ 31 ต.ค. ซึ่งบังคับใช้มาตรการทั่วประเทศ คาดว่ามูลค่าความเสียหายของธุรกิจร้านอาหารและธุรกิจวัตถุดิบอาหาร อยู่ที่ประมาณ 259,600 ล้านบาท
[1] จำนวนนี้เป็นการตรวจแบบ RT-PCR ยังไม่รวมผู้ที่ตรวจหาแอนติเจนด้วยตนเอง หรือ COVID-19 Antigen test self-test kits
[2] สมาคมภัตตาคารไทย (มิ.ย. 2021) คาดว่าร้านอาหารที่จะปิดกิจการอยู่ที่จำนวน 50,000 ราย ภายใน 2 เดือน หรือหากรัฐไม่เยียวยาภายในเดือน ก.ค. ทำให้การศึกษานี้ ได้ประเมินจำนวนร้านอาหารที่จะปิดกิจการในกรณีที่ 1 อยู่ที่ 50,000 ราย กรณีที่ 2 อยู่ที่ 75,000 ราย และกรณีที่ 3 อยู่ที่ 100,000 ราย
[3] คำนวณจากข้อมูลรายได้ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้แก่ ZEN, AU, M และ OISHI
[4] คาดการณ์โดย International Air Transport Association: IATA (ณ เม.ย. 2021)
[5] ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย
[6] คำนวณจากข้อมูลผลประกอบการของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในปี 2019-2020