สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เผยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือน พ.ย.61 ขยายตัวร้อยละ 0.98 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เกิดจากอุตสาหกรรมที่ส่งผลบวก ได้แก่ รถยนต์ น้ำตาลทราย น้ำมันปิโตรเลียม ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และแผ่นวงจร รวมทั้งกระเป๋า
นายณัฐพล รังสิตพล ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (Manufacturing Production Index – MPI) 11 เดือนแรกปี 2561 ขยายตัวร้อยละ 2.99 โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ประจำเดือน พ.ย.61 ขยายตัวร้อยละ 0.98 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งอุตสาหกรรมสำคัญที่ส่งผลบวก ได้แก่ รถยนต์ น้ำตาลทราย น้ำมันปิโตรเลียม ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และแผ่นวงจร รวมทั้งกระเป๋า
อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลบวกต่อดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ประจำเดือนพฤศจิกายน ได้แก่
รถยนต์ ขยายตัวร้อยละ 7.13 จากเครื่องยนต์ดีเซล รถปิกอัพ และเครื่องยนต์แก๊สโซลีน ตามการขยายตัวของตลาดในประเทศเป็นหลัก จากการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่และกิจกรรมส่งเสริมการขาย
น้ำตาลทราย ขยายตัวร้อยละ 236.44 จากการเปิดหีบเร็วกว่าปีก่อน 10 วัน (20 พ.ย.61) ตามปริมาณผลผลิตอ้อยที่มีมากเพื่อป้องกันปัญหาอ้อยตกค้างเหมือนปีก่อน
น้ำมันปิโตรเลียม ขยายตัวร้อยละ 11.24 จากแก๊สโซฮอล 95 และน้ำมันดีเซลเป็นหลัก ตามความต้องการใช้น้ำมันเพื่อการคมนาคมและการขนส่งในประเทศที่เพิ่มขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตต่อเนื่อง
ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และแผ่นวงจร ขยายตัวร้อยละ 6.45 จาก Other IC และ PCBA ตามการขยายตัวของตลาดชิ้นส่วนอิเล็คทรอนิคส์ทั้งในประเทศและตลาดโลก
กระเป๋า ขยายตัวร้อยละ 125.03 เพื่อจำหน่ายในช่วงเทศกาลปีใหม่ ซึ่งปีนี้ลูกค้าสั่งผลิตกระเป๋าขนาดเล็กราคาถูกจำนวนมาก โดยเป็นลูกค้าจากตลาดในประเทศเป็นหลัก
สรุปภาวะอุตสาหกรรมรายสาขา เดือนพฤศจิกายน ปี 2561
อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ขยายตัวร้อยละ 0.2 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ การส่งออกสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ในเดือนพฤศจิกายน หดตัวร้อยละ 6.2 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากตลาดหลักเกือบทั้งหมดปรับตัวลดลง ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน อาเซียน และสหภาพยุโรป ในขณะที่สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าขยายตัวร้อยละ 0.3 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน จากตลาดหลักที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้แก่ ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และอาเซียน
อุตสาหกรรมยานยนต์ ขยายตัวเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากตลาดในประเทศมีการขยายตัวอันเนื่องมาจากการลงทุนของภาครัฐและเอกชน รวมทั้งผลผลิตทางการเกษตรที่เพิ่มสูง อย่างไรก็ตาม การส่งออกที่มีการชะลอตัวในประเทศแถบโอเชียเนีย ตะวันออกกลาง ยุโรป อเมริกาเหนือ เนื่องจากเศรษฐกิจคู่ค้าชะลอตัว การผลิตรถยนต์เดือน พ.ย.61 มีจำนวน 197,020 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 3.49 แบ่งเป็นการผลิตรถยนต์นั่ง ร้อยละ 40 รถกระบะ 1 ตันและอนุพันธ์ร้อยละ 59 และรถยนต์ เพื่อการพาณิชย์อื่นๆ ร้อยละ 1
อุตสาหกรรมสาขาอาหาร การผลิตในภาพรวมเดือนพฤศจิกายนปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 10.8 เพื่อรองรับผลผลิตทางการเกษตรที่สำคัญเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลิตน้ำตาลทรายดิบเนื่องจากปีนี้เข้าสู่ฤดูการเปิดหีบอ้อยเร็วกว่าปีก่อนที่ด้วยปริมาณผลผลิตอ้อยที่คาดว่าจะอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างสูง รวมทั้งการผลิตน้ำมันถั่วเหลืองบริสุทธิ์ เพื่อทดแทนน้ำมันปาล์ม ประกอบกับการผลิตทูน่ากระป๋อง ซาร์ดีนกระป๋อง และแป้งมันสำปะหลัง เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการของตลาดส่งออก เศรษฐกิจโลกเริ่มโตเต็มศักยภาพและเศรษฐกิจสหรัฐฯ ก็เริ่มชะลอลง มูลค่าการส่งออกสินค้ากลุ่มอาหารในภาพรวมปรับตัวลดลงในช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 8.4 จากการชะลอตัวในกลุ่มสินค้าสำคัญ ได้แก่ น้ำตาล ข้าวขาว ลำไย กุ้งสดแช่เย็นแช่แข็ง และสับปะรดกระป๋อง ส่วนสินค้าที่ส่งออกขยายตัว อาทิ แป้งมันสำปะหลัง ไก่แปรรูป ทูน่ากระป๋อง ซาร์ดีนกระป๋อง ข้าวหอมมะลิ และเครื่องดื่ม
อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยาง การผลิตและจำหน่ายยางรถยนต์ในประเทศหดตัวลดลงร้อยละ 9.74 และ 4.78 ตามลำดับ ในส่วนของการผลิตและจำหน่ายยางรถจักรยานยนต์/จักรยานในประเทศเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหดตัวร้อยละ 12.53 และ 9.94 ตามลำดับ ตามการชะลอตัวลงของตลาด Replacement สำหรับถุงมือยาง/ถุงมือตรวจหดตัวร้อยละ 33.15 ตามการขยายตัวของการส่งออก ในขณะที่ปริมาณการจำหน่ายถุงมือยาง/ถุงมือตรวจในประเทศหดตัวร้อยละ 14.16 ในภาพรวมอุตสาหกรรมถุงมือยาง/ถุงมือตรวจยังขยายตัวได้ โดยเฉพาะในตลาดต่างประเทศ การส่งออกผลิตภัณฑ์ยาง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีมูลค่าการส่งออกยางรถยนต์และถุงมือยาง/ถุงมือตรวจเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.53 และ 9.74 ตามลำดับ เนื่องจากตลาดสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักของไทยในสินค้ายางรถยนต์และถุงมือยาง/ถุงมือตรวจมีการขยายตัวที่ดี
อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม การผลิตเดือน พ.ย.61 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน พบว่า การผลิตเส้นใยสิ่งทอ ขยายตัวร้อยละ 7.89 ในกลุ่มเส้นใยสังเคราะห์ และเส้นใยสมบัติพิเศษต่างๆ เช่น เส้นใยคอลาเจน เส้นใยอาระมิด สำหรับผ้าผืนหดตัวร้อยละ 1.95 โดยลดลงในกลุ่มผ้าทอฝ้าย เนื่องจากมีผู้ประกอบการโรงงานทอผ้ายกเลิกสายการผลิตผ้าฝ้าย ซึ่งความต้องการของตลาดทั้งในประเทศและตลาดต่างประเทศลดลง อย่างไรก็ตาม การผลิตผ้าทอใยสังเคราะห์ยังคงขยายตัวตามความต้องการของตลาดต่างประเทศ ในส่วนเสื้อผ้าสำเร็จรูปหดตัวร้อยละ 2.40 ในกลุ่มชุดชั้นในสตรี
อย่างไรก็ตาม การผลิตเสื้อผ้าบุรุษและสตรียังคงขยายตัวการจำหน่ายในประเทศ เดือน พ.ย.61 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน พบว่า การจำหน่ายเส้นใยสิ่งทอหดตัวร้อยละ 3.48 เนื่องจากมีการนำเข้าเส้นใยยาวคุณภาพสูงจากสหรัฐอเมริกาเข้ามาใช้ในการผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปเพื่อการส่งออก ในส่วนผ้าผืน และเสื้อผ้าสำเร็จรูปขยายตัวร้อยละ 8.64 และ 5.38 ตามลำดับ การส่งออก เดือน พ.ย.61 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน พบว่า กลุ่มเส้นใยสิ่งทอ และผ้าผืนหดตัวร้อยละ 8.30 และ 1.49 โดยลดลงในตลาดสหรัฐอเมริกา และจีน ลดลง สำหรับเสื้อผ้าสำเร็จรูปขยายตัวร้อยละ 6.44 จากการที่ไทยได้รับความไว้วางใจในการผลิตเสื้อผ้าให้กับแบรนด์ต่างประเทศ
อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า หดตัวร้อยละ 3.2 และเมื่อพิจารณาตามผลิตภัณฑ์หลัก คือ เหล็กทรงแบนและเหล็กทรงยาว พบว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมหดตัวทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์ โดยเหล็กทรงแบน หดตัวร้อยละ 3.3 เป็นการลดลงในผลิตภัณฑ์เหล็กแผ่นเคลือบดีบุก เหล็กแผ่นรัดร้อนชนิดม้วน สำหรับเหล็กทรงยาว มีดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม หดตัวร้อยละ 1.9 เป็นการลดลงในผลิตภัณฑ์เหล็กเส้นกลม เหล็กโครงสร้างรูปพรรณชนิดรีดเย็น และเหล็กเส้นข้ออ้อย การบริโภคในประเทศขยายตัวร้อยละ 1.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเหล็กทรงแบนขยายตัวร้อยละ 14.8 สำหรับการบริโภคเหล็กทรงยาวหดตัวร้อยละ 20.1 จากการบริโภคเหล็กเส้นและเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ การส่งออกขยายตัวร้อยละ 34.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการส่งออกเหล็กทรงยาวขยายตัวร้อยละ 69.6 แต่การส่งออกเหล็กทรงแบนหดตัวร้อยละ 0.6