ราคาน้ำมันดิบคาดปรับลดลง จากความกังวลต่อภาวะอุปทานล้นตลาด

แนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบ (24 – 28 ธ.ค.61)

ราคาน้ำมันดิบคาดว่าจะปรับตัวลดลง จากความกังวลของนักลงทุนต่อภาวะอุปทานน้ำมันดิบล้นตลาดและอัตราการเติบโตของอุปสงค์น้ำมันดิบโลกที่มีแนวโน้มลดลง จากการชะลอตัวของการเติบโตทางเศรษฐกิจโลก ประกอบกับปริมาณน้ำมันดิบโลกมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังกำลังการผลิตน้ำมันดิบของผู้ผลิตรายใหญ่ในเดือน ธ.ค. อยู่ในระดับสูง และแหล่งผลิตน้ำมันดิบที่ใหญ่ที่สุดของลิเบียคาดจะกลับมาดำเนินการเร็วๆ นี้ อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบคาดว่าจะได้รับแรงหนุนจากความร่วมมือในการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบในปีหน้าของผู้ผลิตทั้งในและนอกกลุ่มโอเปก ประกอบกับ ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐมีแนวโน้มปรับตัวลดลง จากความต้องการใช้น้ำมันดีเซลและอากาศยานในช่วงฤดูหนาวที่ปรับสูงขึ้น

ปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้:

  • นักลงทุนยังคงกังวลเกี่ยวกับการขยายตัวของความต้องการใช้น้ำมันดิบโลกที่ปรับตัวลดลง จากแนวโน้มการเติบโตเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง หลังเศรษฐกิจจีนและยุโรปค่อนข้างซบเซา ในขณะที่การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัวลง หลังธนาคารกลาง (เฟด) ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยขึ้นจากร้อยละ 2.25 เป็นร้อยละ 2.5 โดยเฟดมองว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะยังคงอยู่ในระดับดี และไม่จำเป็นจะต้องได้รับแรงสนับสนุนจากเฟดในการรักษาอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับต่ำ
  • อุปทานน้ำมันดิบโลกคาดปรับเพิ่มขึ้น จากการคาดว่าแหล่งผลิตน้ำมันดิบ El Sharara ซึ่งเป็นแหล่งน้ำมันดิบที่ใหญ่ที่สุดของลิเบียจะกลับมาดำเนินการอีกครั้ง เนื่องจาก นายกรัฐมนตรีลิเบียสามารถตกลงกับกลุ่มกองกำลังติดอาวุธได้สำเร็จ หลังกองกำลังติดอาวุธเข้าบุกยึดแหล่งผลิตน้ำมันดิบดังกล่าว ซึ่งมีกำลังการผลิตกว่า 315,000 บาร์เรล/วัน ส่งผลให้บริษัทน้ำมันแห่งชาติของลิเบีย (NOC) ต้องประกาศเหตุสุดวิสัย (Force Majeure) ยกเลิกการส่งน้ำมันดิบจากแหล่งผลิตนี้ ทั้งนี้แหล่งผลิตน้ำมันดิบ El Sharara ยังไม่เริ่มกลับมาดำเนินการในขณะนี้ เนื่องจากแหล่งผลิตยังไม่ได้รับคำสั่งจากบริษัทแห่งชาติของลิเบีย
  • ตลาดยังคงกังวลต่อภาวะอุปทานล้นตลาด หลังประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ ประกอบด้วย สหรัฐฯ รัสเซีย และ ซาอุดิอาระเบีย ยังคงระดับการผลิตอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับปริมาณการผลิตสูงสุดของแต่ละประเทศ โดยกำลังการผลิตของรัสเซียในเดือน ธ.ค.61 อยู่ที่ระดับ 10.42 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งใกล้เคียงสถิติการผลิตสูงสุดในเดือน ต.ค.61 ที่ระดับ 11.41 ล้านบาร์เรล/วัน นอกจากนี้สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) คาดปริมาณการผลิตน้ำมันดิบจากชั้นหินดินดาน (Shale Oil) จะปรับเพิ่มขึ้น แตะระดับ 8 ล้านบาร์เรลต่อวันภายในปีนี้ และอาจเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 8.73 ล้านบาร์เรล/วันในเดือน ม.ค.62
  • ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของผู้ผลิตทั้งในและนอกกลุ่มโอเปกมีแนวโน้มปรับตัวลดลง หลังกลุ่มผู้ผลิตตกลงที่จะให้ความร่วมมือในการลดกำลังการผลิตในปีหน้าลงรวม 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน จากปริมาณการผลิตในเดือน ต.ค.61 เพื่อพยุงราคาน้ำมันดิบและลดปริมาณน้ำมันดิบคงคลังโลก โดยซาอุดิอาระเบีย หวังว่าปริมาณน้ำมันดิบคงคลังจะลดลงภายในช่วงไตรมาสแรกของปี 2019 ในขณะที่รัฐเซียยืนยันที่จะปรับลดกำลังการผลิตในช่วงไตรมาสแรกลง 228,000 บาร์เรล/วัน
  • ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับตัวลดลง หลังโรงกลั่นคงอัตราการกลั่นที่อยู่ในระดับสูง ประกอบกับอุปทานน้ำมันดีเซลและอากาศยานมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น โดยล่าสุดสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) รายงานว่าอุปสงค์น้ำมันดีเซลและอากาศยานปรับตัวเพิ่มขึ้น แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ ม.ค.46 อย่างไรก็ตาม ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังอาจลดลงไม่มากนัก หลังสหรัฐฯ ขยายท่อขนส่ง Sunrise ใน West Texas ตั้งแต่เดือน พ.ย.61
  • ตัวเลขเศรษฐกิจที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ดัชนีภาคการผลิตสหรัฐฯ ความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกสหรัฐฯ และดัชนีสัญญาการซื้อบ้านที่รอการปิดขายจากสหรัฐฯ

สรุปสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา (17 – 21 ธ.ค.61)

ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวลดลง 5.61 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล มาอยู่ที่ 45.59 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับลดลง 6.46 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล มาอยู่ที่ 53.82 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบปิดเฉลี่ยอยู่ที่ 54 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล หลังได้รับแรงกดดันจากการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ เนื่องจากนักลงทุนกังวลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง ประกอบกับธนาคารกลาง (เฟด) ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอีกร้อยละ 0.25 เป็นร้อยละ 2.5 ซึ่งอาจส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัวลงและความต้องการใช้น้ำมันลดลง และปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ปรับลดลง 497,000 บาร์เรล ซึ่งน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าจะลดลงถึง 2.4 ล้านบาร์เรล อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบยังได้รับแรงหนุน จากข้อตกลงในการปรับลดกำลังการผลิตของผู้ผลิตทั้งในและนอกกลุ่มโอเปก