‘คมนาคม’ ถก ศบศ. วางมาตรการป้องกันโควิด-19 ก่อนพิธีลงนามไฮสปีดไทย-จีน สัญญา 2.3 วงเงิน 5.06 หมื่นล้าน พร้อมเตรียมประชุม JC ครั้งที่ 29 ดีเดย์! 28 ต.ค.นี้

“คมนาคม” จ่อถก ศบศ. วางมาตรการป้องกันโควิด-19 ก่อนพิธีลงนามร่วมกับตัวแทนจีน “รถไฟไทย-จีน” สัญญา 2.3 วงเงิน 5.06 หมื่นล้าน 28 ต.ค.นี้ พร้อมเตรียมจัดประชุม JC ครั้งที่ 29 ในคราวเดียวกัน สั่ง รฟท.-ขร. พิจารณาปรับรูปแบบสถานีอยุธยา ยันใช้อีไอเอเดิม-ปรับลดขนาด เผยปมค้านสัญญา 3.1 ระบุเป็นเรื่องปกติ พร้อมปฏิบัติตามคำสั่ง ด้าน “ศักดิ์สยาม” เตรียมมอบนโยบายปี 64 กลาง พ.ย.นี้

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ในวันที่ 28 ต.ค. 2563 จะมีพิธีการลงนามสัญญาโครงการรถไฟไทย-จีน เส้นทางกรุงเทพฯ-หนองคาย ระยะที่ 1 (ช่วงกรุงเทพฯ- นครราชสีมา) สัญญา 2.3 (สัญญาการวางระบบและระบบการเดินรถ ระบบอาณัติสัญญาณ พร้อมขบวนรถ) วงเงิน 50,633.50 ล้านบาท ระหว่างรัฐบาลไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีการลงนาม ที่จะจัดขึ้นที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล

ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคมจึงได้ประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมความพร้อมในพิธีการลงนามดังกล่าว โดยได้มีการวางแผนรูปแบบการดำเนินงานให้ครบถ้วน ซึ่งในเบื้องต้นจะประชุมร่วมกับศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากเชื้อไวรัสโควิด-19 (ศบศ.) เพื่อหารือในการขออนุญาตตัวแทนจากรัฐบาลของสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่จะเดินทางร่วมลงนามสัญญาในครั้งนี้ พร้อมทั้งกำหนดมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ให้เป็นไปตามแนวทางของกระทรวงสาธารณสุข รวมถึงการขออนุญาตใช้พื้นที่โรงแรมแชงกรี-ลา กรุงเทพฯ เพื่อจัดการประชุมคณะกรรมการร่วมเพื่อความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างรถไฟไทย-จีน (Joint Committee: JC) ครั้งที่ 29 ภายหลังจากการลงนามสัญญา 2.3 ที่ทำเนียบรัฐบาลแล้วเสร็จ

นอกจากนี้ ได้มอบหมายให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และกรมการขนส่งทางราง (ขร.) พิจารณาการปรับรูปแบบสถานีอยุธยา โดยในเบื้องต้นกรมศิลปากรได้เห็นชอบให้ยึดรายงานวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ที่เคยเสนอไว้ ซึ่งไม่ต้องปรับรูปแบบใหม่ เพียงแต่ลดขนาดของสถานีลง ขณะเดียวกัน รฟท. ยังได้เสนอรายงานอีไอเอ ช่วงกรุงเทพฯ-ภาชี ต่อคณะกรรมการคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (สผ.) โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานพิจารณาเห็นชอบต่อไป หากดำเนินการแล้วเสร็จ การลงนามสัญญาโครงการดังกล่าว จะเสร็จสมบูรณ์

นายศักดิ์สยาม ยังกล่าวถึงกรณีที่บริษัท นภาก่อสร้าง จำกัด ได้ยื่นอุทธรณ์ผลการประมูลของบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้ชนะการประมูลสัญญา 3.1 งานโยธา ช่วงแก่งคอย-กลางดง และช่วงปางอโศก–บันไดม้า ระยะทาง 30 กิโลเมตร (กม.) ด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ โดยบริษัทนภาก่อสร้าง ได้ถูกคณะกรรมการคัดเลือกฯ ตัดสิทธิ์การประมูล เนื่องจากไม่ผ่านเกณฑ์คุณสมบัติว่า ถือเป็นเรื่องปกติที่มีการยื่นคัดค้าน ทั้งนี้ หากการฟ้องร้องไปถึงขั้นของศาล และมีการตัดสินพิพากษาคำสั่งเป็นอย่างใด ก็ต้องดำเนินการตามคำสั่งต่อไป

ขณะเดียวกัน ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานวางแผนงานไปสู่การปฏิบัติ หากเรื่องใดมีการพิจารณาตัดสินใจแล้วนั้น ให้เดินหน้าดำเนินการต่อไป หรือเรื่องใดไม่ถูกต้อง ก็ให้พิจารณายกเลิก ทั้งนี้ ยืนยันว่า การประมูลฯ โครงการต่างๆ นั้น จะมีคณะกรรมการพิจารณาหลักเกณฑ์เอกสารการประกวดราคา (ทีโออาร์) อย่างครบถ้วน

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การดำเนินการของกระทรวงคมนาคม เดินหน้านโยบายอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งขับเคลื่อนโครงการที่สำคัญต่างๆ นั้น ในช่วงกลาง พ.ย. 2563 จะมีการมอบนโยบายให้นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม และหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม เพื่อกำหนดนโยบายเร่งด่วนในปีงบประมาณ 2564 หลังจากในปี 2563 ที่ผ่านมา มีหลายนโยบายที่นำไปสู่การปฏิบัติบ้างแล้ว และยังมีอีกหลายนโยบายที่ต้องดำเนินการต่อเนื่อง