‘สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือ’ ยื่นข้อเสนอ 6 ด้าน วอนรัฐช่วยต่อลมหายใจการทำธุรกิจ หลังโดน ‘โควิด-19’ เล่นงาน

“สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือ” ยื่นข้อเสนอ 6 ด้าน หวังรัฐช่วยบรรเทาผลกระทบจาก “โควิด-19” ดันส่งออกไทยลุยธุรกิจต่อเนื่อง พร้อมกำหนดระยะเวลาใช้มาตรการ “สั้น-กลาง-ยาว”

รายงานข่าวจากสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) ในฐานะตัวแทนผู้ส่งออกไทย เปิดเผยว่า สรท.ได้จัดทำข้อเสนอแนะรองรับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ต่อภาคการส่งออกไทย เพื่อเสนอต่อหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องในการกำหนดนโยบาย และมาตรการรับมือต่อเหตุฉุกเฉิน และการบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นต่อภาคส่งออกไทยให้สามารถดำเนินธุรกิจได้ต่อไป

สำหรับข้อเสนอแนะที่จัดทำขึ้นนั้น ได้พิจารณาทั้งในส่วนของระดับความสำคัญ (สูง/กลาง/ต่ำ) ระยะเวลาการใช้มาตรการที่รองรับทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ครอบคลุมด้านการเงิน ด้านแรงงาน ด้านการนำเข้าวัตถุดิบและการส่งออกสินค้า ด้านโลจิสติกส์และการขนส่ง ด้านการตลาด และด้านอื่นที่เกี่ยวข้อง ดังต่อไปนี้

1.ด้านการเงิน

  • ขอให้ธนาคารพาณิชย์ “ขยายเวลาการชำระหนี้ (สินเชื่อเพื่อการลงทุน และสินเชื่อเพื่อการส่งออก) ทั้งเงินต้น ดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียม” ระยะการใช้มาตรการ เม.ย. 2563 – มี.ค. 2564 (1 ปี)
  • ขอให้กระทรวงการคลัง “จัดสรรเงินกู้ปลอดดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมการกู้/ค้ำประกัน” เพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงินให้กับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม ระยะการใช้มาตรการ เม.ย. 2463 – มี.ค. 2564 (1 ปี)
  • ขอให้กระทรวงการคลัง “ยกเว้นการเรียกเก็บภาษีเงินปันผลหรือรายได้จากการลงทุนในต่างประเทศ ที่นำกลับมาจากต่างประเทศ” เป็นการถาวร ระยะการใช้มาตรการ เม.ย. 2563 เป็นต้นไป
  • ขอให้กระทรวงการคลัง “ยกเว้นการเรียกเก็บภาษีสรรพสามิต น้ำมัน และน้ำผลไม้ 100% ที่ใช้วัตถุดิบภายในประเทศ” เพื่อลดต้นทุนการประกอบธุรกิจและค่าใช้จ่ายของประชาชน ระยะการใช้มาตรการ เม.ย.  – ก.ย. 2563  (6 เดือน)
  • ขอให้กระทรวงการคลัง “ยกเลิกการเรียกเก็บภาษีหัก ณ ที่จ่าย ทุกประเภท” และ “ขอให้คืนภาษีหัก ณ ที่จ่าย ซึ่งเรียกเก็บเกินไว้เกินย้อนหลัง 5 ปี” ระยะการใช้มาตรการ เม.ย. 2563 เป็นต้นไป
  • ขอให้กระทรวงการคลัง “ลดอัตราการเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเหลือ 5%” และ “ให้เร่งคืนภาษีมูลค่าเพิ่มในกรณียื่นเป็นเอกสารเหลือ 30 วัน” ระยะการใช้มาตรการ เม.ย. 2563 – มี.ค. 2564 (1 ปี)
  • ขอให้กระทรวงการคลัง “เลื่อนกำหนดการยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคคล ปีภาษี 2562 เป็นเดือนสิงหาคม 2563” และ “ขอให้ลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล ปีภาษี 2562-2563 กรณี SMEs เหลือไม่เกิน 10% และกรณีผู้ประกอบการอื่น เหลือไม่เกิน 20%”ระยะการใช้มาตรการ เม.ย. 2563 – มี.ค. 2564 (1 ปี)
  • ขอให้กระทรวงการคลัง “เลื่อนกำหนดการยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปีภาษี 2562 เป็นเดือนสิงหาคม 2563” และ “ลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีภาษี 2562-2563 สำหรับผู้มีรายได้พึงประเมินไม่เกิน 500,000 บาทต่อปี” เพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงินและเพื่อให้ผู้ประกอบการมีเงินทุนเพียงพอสำหรับการฟื้นฟูกิจการ และเพื่อให้ประชาชนที่มีรายได้น้อยมีสภาพคล่องและมีเงินหมุนเวียนจับจ่ายใช้สอยซื้อสินค้ามากขึ้น 27,500 บาทต่อปี” ระยะการใช้มาตรการ เม.ย. 2563 – มี.ค. 2564 (1 ปี)
  • ขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย และธนาคารพาณิชย์ ร่วมมือ “1) จัดสรรวงเงินสำหรับการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนให้กับผู้ประกอบการ 2) ลดค่าธรรมเนียมและค่าบริการธนาคารพาณิชย์ อาทิ การใช้บริการบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศ การประกันภัยความเสี่ยงการชำระเงินและการปฏิเสธรับสินค้าของคู่ค้า และบริการอื่นของธนาคารพาณิชย์” เพื่อลดต้นทุนและความเสี่ยงให้กับผู้ส่งออกและผู้นำเข้าในช่วงของการระบาดระยะการใช้มาตรการ เม.ย. 2563 – มี.ค. 2564 (1 ปี)
  • ขอให้กระทรวงการคลัง “ผ่อนคลายกฎระเบียบให้ผู้ส่งออกและผู้นำเข้าสามารถจ่ายค่าระวาง ค่าสินค้าและบริการภายในประเทศ ให้กับกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับซัพพลายเชนระหว่างประเทศเป็นเงินสกุลต่างประเทศ” ระยะการใช้มาตรการ เม.ย. 2563 เป็นต้นไป
  • ขอให้กระทรวงการคลัง “เลื่อนการเรียกเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามอัตราใหม่ เป็นปีภาษี 2563 โดยให้เรียกเก็บตามอัตราเดิมไปก่อน” ระยะการใช้มาตรการ เม.ย. 2563 – มี.ค. 2564 (1 ปี)
  • ขอให้การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การประปานครหลวง การประปาส่วนภูมิภาค “ขยายเวลาลดค่าน้ำ ค่าไฟ 3% ตามมติคณะรัฐมนตรี จาก 3 เดือน เป็น 6 เดือน” ระยะการใช้มาตรการ เม.ย.  – ก.ย. 2563  (6 เดือน)

2.ด้านแรงงาน

  • ในกรณีที่สถานประกอบการหยุดกิจการชั่วคราวเนื่องจากได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และในกรณีที่รัฐสั่งให้หยุดเป็นการชั่วคราว ขอให้กองทุนประกันสังคม “จ่ายค่าแรง 75% ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 75 ให้กับแรงงานแทนผู้ประกอบการ” เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถกลับมาประกอบกิจการได้ภายหลังวิกฤต ระยะการใช้มาตรการ เม.ย. – ก.ย. 2563 (6 เดือน)
  • ขอให้กระทรวงแรงงาน “ลดเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมทั้งในส่วนของนายจ้างและลูกจ้าง เหลือ 1%” ระยะการใช้มาตรการ เม.ย. – ก.ย. 2563 (6 เดือน)
  • ขอให้กองทุนประกันสังคม “จ่ายเงินชดเชยการเลิกจ้างให้กับแรงงานแทนสถานประกอบการที่ปิดกิจการเพราะได้รับผลกระทบจาก COVID-19” ระยะการใช้มาตรการ เม.ย. – ก.ย. 2563 (6 เดือน)

3.ด้านการนำเข้าวัตถุดิบและการส่งออกสินค้า

  • ขอให้กรมศุลกากร “ยกเว้นอากรขาเข้าเพื่อส่งเสริมการนำเข้าวัตถุดิบสำหรับการผลิตเพื่อจัดจำหน่ายในประเทศและการส่งออก” เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการ และลดราคาสินค้าในประเทศ ให้ประชาชนมีสินค้าเพียงพอต่อการอุปโภค/บริโภคในระดับราคาที่เหมาะสม ระยะการใช้มาตรการ เม.ย. 2563 – มี.ค. 2565 (2 ปี)
  • ขอให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน “อนุญาตให้กิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนเพื่อการผลิตและส่งออกแต่ไม่สามารถส่งออกได้ตามที่กำหนด สามารถขายสินค้าในประเทศได้โดยไม่เสียสิทธิประโยชน์” โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีความต้องการสินค้าภายในประเทศเป็นจำนวนมาก อาทิ หน้ากากอนามัย     ระยะการใช้มาตรการ เม.ย. – ก.ย. 2563 (6 เดือน)
  • ขอให้กรมศุลกากรและหน่วยงานผู้ออกใบรับรอง/ใบอนุญาตส่งออกและนำเข้า “ยกเว้นหรือปรับลดขั้นตอนการขอใบรับรอง/ใบอนุญาตส่งออกและนำเข้า และลดค่าใช้จ่าย/ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง” หากใบรับรองนั้นไม่ได้เป็นข้อกำหนด/ความต้องการของประเทศปลายทาง โดยให้ดำเนินพิธีการส่งออกใช้เอกสาร Invoice, Packing List และ Bill of Lading เป็นเอกสารสำหรับแสดงต่อเจ้าหน้าที่ ณ ด่านศุลกากร เพื่ออำนวยความสะดวกในช่วงเวลาที่หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องไม่สามารถให้บริการได้ โดยให้มีการรายงานย้อนหลังสำหรับผู้ส่งออกที่ดีและเป็นสมาชิก สรท. เพื่อรับรองให้สามารถส่งออกได้แม้มีการ Lockdown ระยะการใช้มาตรการ เม.ย. – ก.ย. 2563 (6 เดือน)

4.ด้านโลจิสติกส์และการขนส่ง

  • ขอให้กระทรวงคมนาคม “ห้ามปิดท่าเรือกรุงเทพ ท่าเรือแหลมฉบัง และท่าอากาศยานสุวรรณภูมิสำหรับการขนส่งสินค้า” และ “จัดตั้งศูนย์ประสานงานและสนับสนุนข้อมูลการขนส่งสินค้าภายในประเทศ” เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับการส่งออกและการนำเข้า และการขนส่งวัตถุดิบและสินค้าระหว่างผลิตภายในประเทศ ในกรณีที่มีการ Lock Down กรุงเทพฯ และประเทศไทย เพื่อให้กระบวนการผลิตและการส่งออกยังสามารถดำเนินการได้ต่อเนื่อง ระยะการใช้มาตรการ เม.ย. – ก.ย. 2563 (6 เดือน)
  • ขอให้กรมศุลกากร หน่วยงานผู้ออกใบรับรอง/ใบอนุญาตส่งออกและนำเข้า และการท่าเรือแห่งประเทศไทย “เร่งรัดพัฒนาระบบการขอใบรับรอง/ใบอนุญาตส่งออกและนำเข้าผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ให้สมบูรณ์ สามารถป้อนข้อมูลแบบ Single Submission ผ่าน National Single Window และสามารถตรวจสอบเอกสารผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้ทั้งหมด ณ ด่านศุลกากรทั่วประเทศ” และ “สนับสนุนการพัฒนา National Digital Trade Platform (NDTP) ของภาคเอกชนเพื่อเชื่อมต่อกับระบบของภาครัฐ” ซึ่งจะทำให้สามารถลดการติดต่อเผชิญหน้าระหว่างเจ้าหน้าที่และภาคเอกชนในการเดินทางไปขอใบรับรอง/ใบอนุญาตส่งออก ณ หน่วยงานภาครัฐ สามารถยกเลิกการยื่นและรับเอกสารกระดาษ ณ ด่านศุลกากรและท่าเรือขนส่งสินค้า ทั้งกรณี Green Line / Red Line ซึ่งเป็นความเสี่ยงสำคัญสำหรับการแพร่ระบาด อีกทั้งสามารถอำนวยความสะดวกให้กิจกรรมทางการค้าระหว่างประเทศสามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง แม้ในช่วงการระบาดของโรค ระยะการใช้มาตรการ เม.ย. 2563 เป็นต้นไป
  • ขอให้กระทรวงพาณิชย์ “จัดตั้งศูนย์ประสานงานและสนับสนุนข้อมูลเส้นทางการขนส่งในประเทศคู่ค้าสำคัญ” โดยอาศัยเครือข่ายสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ รวมถึงกรณีที่ท่าเรือหรือท่าอากาศยานปิดทำการและมีสินค้าตกค้าง ศูนย์ประสานงานฯ จะต้องช่วยเจรจาให้ท่าเรือ/ท่าอากาศยาน มีมาตรการผ่อนปรนหรือยกเว้นค่า Demurrage /Detention ระยะการใช้มาตรการ เม.ย. 2563 – มี.ค. 2564  (12 เดือน)
  • ขอให้กระทรวงคมนาคม และกรมศุลกากร “เตรียมความพร้อมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งด้านบุคลากรฝ่ายปฏิบัติงานและสิ่งอำนวยความสะดวกในท่าเรือ/ท่าอากาศยาน เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานขนถ่ายและพิธีการศุลกากรได้ต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง รองรับความไม่สะดวกในช่วงการแพร่ระบาดของโรคและรองรับปริมาณการค้าที่จะพลิกฟื้นกลับมาในช่วงครึ่งปีหลัง เพื่อมิให้เกิดปัญหาความแออัดของสินค้าในท่าเรือ/ท่าอากาศยาน” และ “กำกับดูแลผู้ให้บริการขนส่งสินค้าให้จัดหาระวางขนส่งสินค้าและตู้คอนเทนเนอร์บรรจุสินค้า ให้เพียงพอต่อความต้องการส่งออก-นำเข้า ภายใต้อัตราค่าบริการที่เหมาะสม โดยต้องควบคุมไม่ให้เกิดการฉวยโอกาสกับเจ้าของสินค้า” ระยะการใช้มาตรการ มิ.ย. – ธ.ค. 2563 (6 เดือน)
  • กรณีการขนส่งสินค้าทางถนนข้ามแดนขอให้กรมศุลกากร “แยกแถวคอยการตรวจสอบรถขนส่งผู้โดยสารกับรถบรรทุกขนส่งสินค้าออกจากกัน” เพื่อมิให้เกิดปัญหาการขนส่งสินค้าล่าช้า อันเนื่องจากการรอคอย ระยะการใช้มาตรการ เม.ย.– ก.ย. 2563 (6 เดือน)
  • ขอให้กระทรวงสาธารณสุข “จัดสรรบุคลากรทางแพทย์เพื่อสนับสนุนการตรวจสอบประวัติและสุขภาพคนประจำเรือขนส่งสินค้าให้เพียงพอต่อปริมาณเรือเข้า-ออกท่าเรือทั่วประเทศ” เพื่อลดเวลาการรอคอยของเรือขนส่งสินค้า และลดโอกาสการเกิดปัญหาความแออัดในท่าเรือ ระยะการใช้มาตรการ เม.ย.– ก.ย. 2563 (6 เดือน)
  • ขอให้กระทรวงคมนาคม และการบินไทย “จัดเตรียมการขนส่งสินค้าทางอากาศในลักษณะการเช่าเหมาลำ (Charter Flight)” เพื่อรองรับความต้องการขนส่งสินค้าทางอากาศโดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเน่าเสียง่ายไปยังตลาดเป้าหมายในกรณีฉุกเฉิน ระยะการใช้มาตรการ เม.ย.– ก.ย. 2563 (6 เดือน)

5.ด้านการตลาด

  • ขอให้กระทรวงพาณิชย์ “เร่งขยายความร่วมมือกับ e-commerce platform (ทั้งภายในประเทศ ในประเทศคู่ค้าสำคัญ) เพื่อขอพื้นที่ให้กับสินค้าไทยบนแพลตฟอร์ม รวมถึงช่วยเจรจาเพื่อปรับขั้นตอนการเข้าเป็นสมาชิก ลดค่าธรรมเนียมแรกเข้า และค่าธรรมเนียมการใช้บริการ” โดยใช้เงินกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ หรือเงินงบประมาณอื่น ระยะการใช้มาตรการ เม.ย. 2563 – มี.ค. 2565 (2 ปี)

6.ด้านอื่นๆ

  • ขอให้รัฐบาล กระทรวง และหน่วยงานราชการแต่ละระดับมีการประสานการทำงานและหารือร่วมกับภาคเอกชนก่อนกำหนดนโยบายที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง เพื่อมิให้เกิดความสับสนและความไม่เชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจ      ระยะการใช้มาตรการ เม.ย. 2563 เป็นต้นไป
  • ขอให้รัฐบาลกำหนดมาตรการรองรับนโยบาย Work from Home เพื่อให้ระบบเศรษฐกิจมีความต่อเนื่องและสามารถลดการแพร่กระจายของโรค อาทิ 1.จำกัดการเดินทางของแรงงานและประชาชนกลับภูมิลำเนา 2.จัดระบบการขนส่งสินค้าและยารักษาโรคที่จำเป็นไปยังร้านค้าปลีกในชุมชน 3.อำนวยความสะดวกการจ้างงานในบริการ Food Delivery ให้กับแรงงานที่ว่างงาน 4.สนับสนุนข้อมูลสถานการณ์แบบ Real Time โดย SMS ไปยังโทรศัพท์มือถือของประชาชนผ่านผู้ให้บริการหลัก เพื่อลด Fake News และความวิตกกังวลของประชาชน ระยะการใช้มาตรการ เม.ย. – ก.ย. 2563 (6 เดือน)

อย่างไรตาม ข้อเสนอแนะรองรับผลกระทบจากโควิด-19 ข้างต้นนั้น พิจารณาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดภายในประเทศและทั่วโลก ณ วันที่ 22 มีนาคม 2563 ที่มีผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทย ดังนั้น หากสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา จำเป็นต้องมีการปรับปรุงนโยบายหรือมาตรการให้เข้มข้นหรือผ่อนคลายให้เหมาะสมต่อไป