“ศักดิ์สยาม” นำทัพ “คมนาคม ยูไนเต็ด” บุก “เกาหลี” 21-23 ก.พ. 63 พร้อมลุยปฏิบัติภารกิจเพื่อชาติ
ย้อนไปเมื่อวันที่ 21-23 ก.พ. 2563 ที่ผ่านมา “นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ” เจ้ากระทรวงคมนาคม นำทัพพร้อมด้วย นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) นายปฐม เฉลยวาเรศ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท (ทช.) นายชยธรรม์ พรหมศร ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ผู้แทนจาก ทล., สนข. และผู้แทนกองการต่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไปยังสาธารณรัฐเกาหลี เพื่อปฏิบัติภารกิจสำคัญของกระทรวงคมนาคม
สำหรับภารกิจการเดินทางในครั้งนั้น มีหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOC) ด้านการขนส่งทางถนน กับกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน และการขนส่งแห่งสาธารณรัฐเกาหลี (MOL), การทดสอบการรับแรงกระแทกของคอนกรีตแบริเออร์หุ้มยางพารา (Rubber Fender Barrier) ณ สถาบัน KATRI (Korea Automobile Testing & Research Institute) และเยี่ยมชมศูนย์ควบคุมจราจร (Traffic Center) ภายใต้การบริหารจัดการโดยการทางพิเศษ
ทั้งนี้ทั้งนั้น หลายคนให้คำกล่าวไว้ว่า “การเดินไปเกาหลีของผู้บริหารกระทรวงคมนาคมนั้น ถือเป็นการเสี่ยงตายเพื่อประเทศชาติ” สืบเนื่องจากในห้วงเวลานั้น อยู่ในสภาวะวิกฤตของการแพร่ระบาดเชื่อไวรัสโควิด-19 ที่หลายประเทศทั่วโลกต่างได้รับผลกระทบไปตามๆ กัน ไม่เว้น “เกาหลี” ที่ยังอยู่ในสถานการณ์เฝ้าระวัง แต่ด้วยภารกิจเพื่อสร้างความปลอดภัยทางถนนของการคมนาคมไทยนั้น “นายศักดิ์สยาม” จึงไม่หวั่นแม้อาจจะได้รับผลกระทบจากวิกฤตดังกล่าว เพื่อให้งานสำเร็จลุล่วง
*** ประเดิมวันแรก MOC การขนส่งทางถนน ***
สำหรับสาระสำคัญของ MOC ดังกล่าวนั้น เป็นการพัฒนาแผนงานและโครงการด้านการขนส่งทางถนน ที่ฝ่ายไทยและฝ่ายเกาหลีมีความสนใจร่วมกัน โดยเป็นกลไกที่จะช่วยส่งเสริมโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของคมนาคม เพื่อเพิ่มศักยภาพโครงข่ายและระบบการขนส่งทางถนนของประเทศไทย ครอบคลุมถึงโครงการต่างๆ ได้แก่ 1.การแก้ไขปัญหาการจราจรในเขตกรุงเทพมหานคร 2.ระบบเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติ 3.โครงการทางด่วนใต้ดิน 4.โครงการพัฒนาจุดพักรถ (Rest Area) 5.ระบบขนส่งอัจฉริยะสำหรับการขนส่งทางถนน และ 6.ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) รวมถึงอาจพิจารณาขอบเขตความร่วมมืออื่นๆ ที่ทั้ง 2 ฝ่ายตัดสินใจร่วมกัน
ขณะที่รูปแบบของความร่วมมือ ประกอบด้วย 1.การแลกเปลี่ยนข้อมูล ประสบการณ์ และการวิจัย 2.การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ การให้คำปรึกษา การช่วยเหลือทางวิชาการในขั้นตอนเตรียมการโครงการ 3.การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี 4.การแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญ 5.การจัดประชุมกิจกรรม การสัมมนา การประชุมเชิงปฏิบัติการและการประชุมรูปแบบอื่นๆ 6.โครงการฝึกอบรมต่างๆ 7.โครงการนำร่อง และ 8.การส่งเสริมการร่วมลงทุนจากภาคเอกชน นอกจากนี้ อาจพิจารณารูปแบบความร่วมมืออื่นๆ ที่ทั้งสองฝ่ายตัดสินใจร่วมกัน
นอกจากนี้ ยังมีการหารือและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ที่ฝ่ายเกาหลีมีความเชี่ยวชาญ สอดคล้องกับการดำเนินงาน และภารกิจของรัฐบาลไทย อาทิ 1.ด้านการพัฒนาโครงข่ายระบบการขนส่งทางถนน 2.การวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ด้านวิศวกรรมความปลอตภัย (การทดสอบมาตรฐานรับแรงกระแทกด้วยแผ่นยางพาราครอบแบริเออร์) และ 3.การบริหารจุดพักรถพื้นที่เชิงพาณิชย์อย่างผสมผสานตามสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์
*** ใกล้ความจริง “Rubber Fender Barrier “ชาวสวนยางเตรียมเฮ!” ***
คุ้มสุดๆ สำหรับการเดินทางไปเกาหลีนั้น ภารกิจสำคัญ คือ การทดสอบการรับแรงกระแทกของคอนกรีตแบริเออร์หุ้มยางพารา ใช้รถกระบะน้ำหนัก 2,000 กิโลกรัม ขับเคลื่อนแบบไร้คนขับ โดยควบคุมด้วยระบบคลื่นแม่เหล็ก ด้วยความเร็วในการชน 120 กิโลเมตร/ชั่วโมงมุมชน 20 องศา ตามมาตรฐาน EN13146-3 (Euro Code)
โดยผลการทดสอบออกมาแล้วว่า สามารถทำให้รถกระบะแฉลบไปตามแนว Rubber Fender Barriers ซึ่งโดยปกติการชนในลักษณะนี้ด้วยความเร็วที่ทดสอบกับแบริเออร์คอนกรีตที่ไม่ได้หุ้มยางพาราจะชนทะลุแท่งคอนกรีต มีค่าระยะการร่นของแบริเออร์ที่อยู่ในระยะปลอดภัยต่อผู้ขับขี่ (ตามหลักการทดสอบที่ปลอดภัยการชนในลักษณะนี้ต้องมีระยะการร่นที่ไม่เกิน 1 เมตร จากเส้นจราจร ผลการทดสอบครั้งนี้ทดสอบได้ระยะร่นเพียง 50 เซนติเมตร)
นอกจากนี้ ยังสามารถรับแรงกระแทกได้ดีโดยหุ่น dummy ในรถกระบะไม่กระเด็นเปลี่ยนทิศทาง (รับแรงกระแทกน้อยกว่า 60g) ซึ่งค่ามาตรฐานในการรับแรงกระแทกจากตัวรถมายังคนขับที่ปลอดภัยตามหลักสากลไม่ควรสูงกว่า 60g โดยการทดลองฯ วัดค่าจากอุปกรณ์ sensors ที่ติดตามหุ่น dummy (ภายใต้การคาดเข็มขัดนิรภัย) ซึ่งในส่วนของแผ่นยางบนแท่งคอนกรีตนั้น เสียหายเพียง 4 แผ่น บางแผ่นสามารถนำกลับมาใช้งานได้ใหม่ ซึ่งปกติแผ่นยางจะหลุดเพราะการชนทำให้เกิดแรงเฉือนมากกว่า 3 ตันต่อตารางเมตร แต่ครั้งนี้ทีมงานวิจัยได้พัฒนารูปแบบการติดตั้ง Rubber Fender Barriers โดยใช้กาว epoxy ติดแผ่นยางกับแบริเออร์ ทำให้แผ่นยางติดแน่นและมีอายุการใช้งานมากกว่า 5 ปี (จากผลการทดลองการเร่งสภาวะ ในห้องปฏิบัติการของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย)
ในส่วนของรถยนต์เสียหายด้านชนเพียงด้านเดียว และไม่พลิกคว่ำ รถไม่เหินข้าม Rubber Fender Barriers เหมือนแบริเออร์ประเภทอื่น ซึ่งตัวรถจะได้รับความเสียหายมากกว่าเมื่อเกิดการชน โดยการทดสอบการชนฯ จะสามารถนำมาต่อยอดการพัฒนา Rubber Fender Barriers ต่อไปในอนาคตอันใกล้ ถือเป็นเรื่องที่ดีในการช่วยเหลือชาวเกษตรกรสวนยางพารา
อย่างไรก็ตาม การนำผลิตผลของยางพารามาสนับสนุนโครงการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานทางถนนของกระทรวงคมนาคมนั้น สามารถช่วยอำนวยความสะดวกรวดเร็ว มีประสิทธิภาพและปลอดภัย รวมถึงส่งเสริมสนับสนุนระบบเศรษฐกิจของไทยให้เติบโตอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ซึ่งกระทรวงคมนาคมมีแผนที่จะลงนามบันทึกความเข้าใจกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ต่อไปในอนาคต เพื่อให้มั่นใจว่าเกษตรกรชาวสวนยางจะได้รับรายได้จากการผลิตและจำหน่าย Rubber Fender Barriers จากภาครัฐโดยตรงไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง
*** เยี่ยมชม “ศูนย์ควบคุมจราจร” แดนกิมจิ ***
ต้องบอกว่า “เกาหลี” ถือเป็นอีก 1 ประเทศในภูมิภาค ที่มีการบริหารจัดการจราจรที่มีประสิทธิภาพ งานนี้ “นายศักดิ์สยาม” จึงได้นำทีม “คมนาคม ยูไนเต็ด” เข้าเยี่ยมชม “ศูนย์ควบคุมจราจร” ที่มีจุดเด่นด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่ทันสมัย ประกอบกับ นวัตกรรมระบบขนส่งอัจฉริยะ (ITS) มาสนับสนุนการดำเนินงานในการบริหารจัดการปัญหาจราจร บังคับใช้กฎหมาย และเฝ้าระวังแจ้งเตือนพร้อมกับสนุนเมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ฉุกเฉิน ภายในศูนย์ฯ มีจอภาพขนาดใหญ่แสดงภาพจากกล้องวงจรปิดตามจุดต่าง ๆ บนทางด่วน ซึ่งมีการติดตั้งทุกระยะ 2 กิโลเมตร ซึ่งกล้องวงจรปิดสามารถสังเกตการณ์ได้ 360 องศา ซูมดูรายละเอียดได้ในระยะรัศมีทำการ 1 กิโลเมตร เชื่อมต่อข้อมูลผ่านเครือข่ายใยแก้วนำแสง
นอกจากนี้ มีติดตั้งระบบตรวจจับ (Sensor) ภายใต้พื้นผิวจราจร เพื่อเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องมาประมวลผลวิเคราะห์ เพื่อให้ได้ข้อมูลความหนาแน่นของรถและสภาพการจราจรทั่วไปที่เป็นปัจจุบัน (Realtime) ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกในการตรวจตราความเรียบร้อยและแก้ปัญหาอุบัติเหตุ รวมถึงสถานการณ์ฉุกเฉินต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้การกำกับดูแลของเจ้าหน้าที่ตลอด 24 ชั่วโมง โดยประสานและบูรณาการข้อมูลร่วมกับทางหลวงท้องถิ่นและตำรวจ เพื่อลดอุบัติเหตุทางถนน การทำงานของศูนย์ฯ เป็นตัวอย่างแนวปฏิบัติที่ดีในการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการทำงาน และลดงบประมาณรายจ่ายด้านบุคคลากรได้เป็นจำนวนมาก
ในส่วนของระบบการจัดเก็บค่าผ่านทางพิเศษแบบ Hi-pass Multi-Lane Free Flow (MLFF) นั้น ซึ่งมีรูปแบบคล้ายกับระบบ Easy Pass ของไทย แต่มีความทันสมัยกว่าเนื่องจากมีการติดตั้งอุปกรณ์รับ-ส่งสัญญาณที่มีความแม่นยำ ไม่มีไม้กั้น และมีช่องจราจรตั้งแต่ 2 ช่องจราจรขึ้นไป สามารถรับข้อมูลได้ ณ อัตราความเร็วสูงสุด 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งระบบจะไม่เก็บข้อมูลซ้ำซ้อนในกรณีที่รถเปลี่ยนช่องจราจรขณะเข้าด่านเก็บค่าผ่านทาง จึงสามารถแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดหรือรถชะลอตัวขณะเข้าด่านฯ และลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุได้อย่างมีนัยสำคัญ
ขณะที่ โครงการจุดพักรถ-พื้นที่เชิงพาณิชย์นั้น มีการจัดสรรพื้นที่ในรูปแบบศูนย์การค้าชุมชน (Community Mall) เชื่อมโยงผู้ใช้บริการทางด่วนและชุมชนทั้ง 2 ฝั่ง ประกอบด้วย สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ผสมผสานเอกลักษณ์และวัฒนธรรมท้องถิ่นไว้ด้วยกัน เป็นการพัฒนาจุดพักรถและบริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์ในรูปแบบใหม่ที่มีพื้นที่จำกัด ซึ่งประเทศไทยสามารถนำมาปรับใช้ในการบริหารจัดการพื้นที่จุดพักรถเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่าที่สุด
… งานนี้ ต้องขอปรบมือรัวๆ สำหรับความมุ่งมั่นของ “นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ” ในการพัฒนาการคมนาคมไทย ให้มีประสิทธิภาพรุดหน้าขึ้นชั้นนำของภูมิภาค …