‘สุชาติ’ ไขก๊อกผู้ว่า กทพ. ปมค้านขยายสัมปทานทางด่วน แลกล้างค่าโง่ 5.8 หมื่นล้าน

“สุชาติ” ยื่นลาออกผู้ว่า กทพ. มีผลภายใน 30 วัน หลังไม่เห็นด้วยกรณีขยายสัญญาสัมปทานทางด่วน แลกค่าเสียหาย 5.8 หมื่นล้าน ลั่น! ข้อพิพาทยังไม่ตัดสิน กลับตัดโอกาสชนะคดี

รายงานข่าวจากการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ระบุว่า นายสุชาติ ชลศักดิ์พิพัฒน์ ผู้ว่าการ กทพ.ได้ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าการ กทพ.แล้ว โดยจะมีผล 30 วันหลังจากวันที่ยื่น ตามเงื่อนไขสัญญาจ้างผู้ว่าฯ กทพ. ซึ่งพนักงาน กทพ.ส่วนใหญ่รับทราบ ทั้งนี้ เหตุผลในการยื่นใบลาออก คือ เพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบกรณีที่ไม่เห็นด้วยต่อการขยายสัญญาสัมปทานทางด่วน และได้แสดงความเห็นคัดค้านในที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) กทพ. เมื่อวันที่ 6 ม.ค.ที่ผ่านมา 

นอกจากนี้ ที่ผ่านมา นานสุชาติได้มีความพยายามยื่นข้อเสนอให้ทางคณะกรรมการ กทพ. พิจารณาแนวทางยุติข้อพิพาทเฉพาะในส่วนที่ กทพ.แพ้คดี จากการตัดสินของศาลปกครองสูงสุดเท่านั้น เนื่องจากคดีข้อพิพาทที่เหลือยังไม่มีการตัดสินจึงมองว่า กทพ.ยังมีโอกาสที่จะชนะคดีอยู่ในส่วนของแนวทางยุติข้อพิพาทระหว่าง กทพ. และบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ที่มีการขอให้ทำการทบทวนนั้นมีการฟ้องร้องรวม 17 คดี มูลค่าความเสียหายจากข้อพิพาทประมาณ 58,000 ล้านบาท แลกกับสัมปทาน 15 ปี 8 เดือน ซึ่งทางคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีการสั่งการให้ กทพ.พิจารณาแนวทางที่เหมาะสมไม่ใช่หาแนวทางยุติข้อพิพาท

ทั้งนี้ นายสุชาติฯ ได้เข้ารับตำแหน่งผู้ว่าการ กทพ.วันที่ 27 ก.ย. 2561 ต่อมาโดนคำสั่งย้ายตามมาตรา 44 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ลงนามในคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 10/2562 โดยเป็นคำสั่งเรื่องให้เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานอื่นของรัฐไปปฏิบัติหน้าที่ในสำนักนายกรัฐมนตรี โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 24 เม.ย. 2562 กลับเข้ามาเป็นผู้ว่าการ กทพ.อีกครั้ง และจะครบวาระในวันที่ 2 ก.ค. 2563

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 6 ม.ค.ที่ผ่านมา นายสุรงค์ บูลกุล ประธานคณะกรรมการ กทพ.ได้เปิดเผยภายหลังการประชุมนัดพิเศษเกี่ยวกับแนวทางในการเจรจากับ BEM เพื่อยุติข้อพิพาทคดีทางด่วน ที่มีมูลค่าที่ 58,873 ล้านบาท โดยมีเงื่อนไขหลัก คือ ไม่มีการลงทุนก่อสร้างปรับปรุงทางด่วนชั้นที่ 2 (Double Deck ) และยุติข้อพิพาททั้งหมดที่มีต่อกัน 17 คดี โดยจะมีการต่อขยายสัญญาโครงการทางด่วน เป็นระยะเวลา 15 ปี 8 เดือน ว่าในที่ประชุมได้มีมติอนุมัติเรียบร้อยแล้วและจะนำข้อสรุปเสนอคณะกรรมการกำกับฯ ตามมาตรา 43 ภายในสัปดาห์นี้ เพื่อเข้ากระบวนการแก้ไขสัญญาตามมาตรา 47 แห่ง พ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 เพื่อเสนอกระทรวงคมนาคม และ ครม. ต่อไป