‘คมนาคม’ หารืออัยการสูงสุด ปมสกุลเงินไฮสปีดไทย-จีน สัญญา 2.3 เร่งสรุปเสนอ ‘บิ๊กตู่’ ก่อนถกร่วม ‘หลี เค่อเฉียง’ 5 พ.ย.นี้

“คมนาคม” เตรียมหารืออัยการสูงสุด ปมไฮสปีดไทย-จีน สัญญา 2.3 หลังจีนเสนอไทยจ่ายเงินสกุลดอลลาห์ เร่งสรุปก่อนเสนอ “บิ๊กตู่” ถกร่วม “หลี เค่อเฉียง” 5 พ.ย.นี้ ฟากคดีโฮปเวลล์ “ศักดิ์สยาม” สั่งดูข้อมูลครบถ้วนสมบูรณ์

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูงความร่วมมือไทย-จีน เส้นทางกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ระยะทาง 253 กม. ในส่วนของสัญญา 2.3 (งานระบบราง ระบบไฟฟ้าและเครื่องกล รวมทั้งจัดหาขบวนรถไฟและฝึกอบรมบุคลากร) ว่า ล่าสุดมีประเด็นที่จะต้องมีการเจรจาเพิ่มเติม หลังจีนต้องการให้ไทยชำระเงินเป็นสกุลดอลลาห์ เนื่องจากมีความเป็นห่วงในเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยน จากเดิมที่ก่อนหน้านี้มีการเจรจาชำระเป็นสกุลบาท โดยในขณะนี้ กระทรวงคมนาคม และกรมการขนส่งทางราง ได้ทำเรื่องหารือไปที่อัยการสูงสุด เพื่อพิจารณาข้อกฎหมายว่าสามารถดำเนินการได้อย่างไรบ้าง พร้อมทั้งหารือร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย ถึงรูปแบบในการดำเนินการ ก่อนสรุปรายละเอียดให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไปหารือกับนายหลี เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีจีน ในวันที่ 5 พ.ย. 2562

“เราได้ทำความเห็นไปว่าการที่เราชำระเงินบาทไปนั้น จะมีส่วนที่เป็นประโยชน์กับทั้ง 2 ประเทศอย่างไร ขณะที่ทางกระทรวงการคลัง ได้บอกว่าสามารถใช้การซื้ออัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้าได้ ซึ่งจริงๆ ธนาคารในประเทศไทยก็ทำเรื่องนี้อยู่แล้ว ต้องอธิบายให้รับทราบเพราะข้อมูลบ้างครั้งอาจไม่สมบูรณ์  เขาอาจจะไม่ทราบว่ากระบวนการแบบนี้ในประเทศไทยทำยังไง มองว่าเรื่องพวกนี้ต้องทำความเข้าใจ เพื่อให้เห็นว่าสิ่งที่เป็นประโยชน์กับทั้ง 2 ประเทศทำแบบไหน แต่ทั้งหมดนี้ต้องอยู่ภายใต้กฏหมายที่ทำได้” นายศักดิ์สยาม กล่าว

นายศักดิ์สยาม กล่าวต่ออีกว่า สำหรับโครงการดังกล่าวเป็นโครงการรัฐต่อรัฐ ดังนั้นต้องไปดูว่าอำนาจหน้าที่ที่มีได้บัญญัติไว้อย่างไร ทั้งนี้ ยืนยันว่า เรื่องดังกล่าวจะไม่ช้า และดำเนินการถูกต้องตามกระบวนการ ในส่วนเรื่องดอกเบี้ยนั้น อยู่ระหว่างการพิจารณา ที่จะต้องมีการเปรียบเทียบผลได้ ผลเสีย อย่างไรก็ตาม หลังจากได้ข้อสรุปแล้วนั้น จะมีการนำเสนอไปยังคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่อไป

นายศักดิ์สยาม ยังกล่าวถึงกรณีโฮปเวลล์ว่า ในขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานจากนายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิณ รองปลัดกระทรวงคมนาคม ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ในฐานะประธานคณะทำงานที่ได้ไปเจรจาร่วมกับเอกชน ทั้งนี้ เรื่องดังกล่าว จะต้องพิจารณาหารือถึงข้อมูลหลักฐานให้ครบถ้วนสมบูรณ์ หลังจากมีข้อสงสัยต่างๆ จึงต้องดำเนินการ เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายและเป็นภาระกับกระทรวงคมนาคม ประเทศชาติ และประชาชนด้วย ขณะเดียวกัน ในส่วนคำสั่งของศาลที่ได้ตัดสินไปแล้ว โดยมีกำหนดให้จ่ายค่าชดเชยมูลค่า 11,888.75 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ตามคำสั่งศาล หรือประมาณ 25,000 ล้านบาท ที่ได้ครบกำหนดไปเมื่อวันที่ 19 ต.ค.ที่ผ่านมานั้น การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้ไปยื่นหนังสือต่อกรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม เพื่อขอชะลอการบังคดีออกไปก่อน ในระหว่างนี้ จึงเดินหน้าดำเนินการตามกระบวนการเจรจาและพิจารณาข้อมูลต่อไป