ผุด! 20 หลักฐานมัด ‘โฮปเวลล์’ จ่อฟ้องอาญา พร้อมมั่นใจไม่เสียค่าเสียหายแม้แต่บาทเดียว คาดได้ข้อสรุปภายใน 2 สัปดาห์

“คมนาคม” ผุด 20 หลักฐานใหม่ปมคดีโฮปเวลล์ จ่อยื่นฟ้องอาญาถล่มเอกชน พร้อมมั่นใจรัฐบาลไม่เสียค่าชดเชยแม้แต่บาทเดียว คาดได้ข้อสรุปภายใน 2 สัปดาห์ ฟาก “อดีตผู้ว่า รฟท.” ระบายการรถไฟฯ อยู่ในภาวะน้ำท่วมปาก หวั่นกระทบหน้าที่การงาน

แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงความคืบหน้าคดีพิพาทค่าชดเชยโครงการโฮปเวลล์ 2.5 หมื่นล้านบาท เเบ่งเป็นเงินต้น 1.2 หมื่นล้านบาท และดอกเบี้ย 7.5% หรือประมาณ 1.3 หมื่นล้านบาทว่า ขณะนี้กระทรวงคมนาคมพบหลักฐานปมข้อพิรุธมากกว่า 20 ข้อ และเตรียมส่งฟ้องศาลปกครองกลาง ในคดีอาญา ฐานทำรัฐบาลเสียผลประโยชน์ ทั้งนี้ มั่นใจว่าจะชนะคดีอย่างแน่นอน โดยที่ภาครัฐไม่ต้องเสียค่าชดเชยให้กับเอกชน อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายใน 2 สัปดาห์นับจากนี้

“มองว่าคดีอาญาในลักษณะนี้ ฝ่ายเอกชนอยู่ในฐานะที่เสียเปรียบและมีโอกาสมากที่จะแพ้คดี จึงไม่น่าแปลกใจที่ทีมเจรจาของฝ่ายเอกชนได้ขอให้กระทรวงคมนาคมชะลอการยื่นฟ้องศาลเพื่อมาเปิดโต๊ะเจรจา” แหล่งข่าว กล่าว

แหล่งข่าว กล่าวต่ออีกว่า สำหรับแนวทางต่อสู้คดีนั้น จะยื่นฟ้องบริษัทเอกชนในคดีอาญา ซึ่งหากศาลตัดสินให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ชนะคดี ซึ่งจะทำให้คำตัดสินของศาลเรื่องค่าชดเชยเป็นโมฆะ เนื่องจากถือว่าการทำสัญญาก่อสร้างโฮปเวลล์เป็นโมฆะไปตั้งแต่แรก จึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยดังกล่าว อีกทั้งยังสามารถฟ้องเอาผิดผู้เกี่ยวข้องและเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งเข้าข่ายทุจริต รวมถึงรัฐอาจจะได้รับค่าชดเชยแทนอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของคดีโฮปเวลล์นั้น เริ่มจากคำประกาศคณะปฏิวัติตั้งแต่ปี 2534 ที่กำหนดให้กิจการด้านขนส่งมวลชน ต้องมีบริษัทผู้รับงานก่อสร้างและบริการ เป็นบริษัทสัญชาติไทย กล่าวคือ มีคนไทยถือหุ้นมากกว่า 51% ซึ่งหลักฐานที่คณะทำงานแต่งตั้งโดยนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พบว่าทางเอกชนได้ไปแอบอ้างขอจดทะเบียนเป็นบริษัทพิเศษซึ่งมีต่างชาติถือหุ้นมากกว่า 51% พร้อมอ้างว่าได้รับมติเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่เมื่อตรวจสอบแล้ว กลับพบว่าไม่มีมติจาก ครม. ทั้งยังมีข้อสังเกตุว่าการอนุมัติโครงการดังกล่าวเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทั้งที่แผนงานไม่มีความชัดเจน ในส่วนของสัญญาก็มีเพียงแค่ 8 หน้าเท่านั้นกับโครงการที่มีมูลค่ากว่าแสนล้านบาท โดยในขณะนั้น อยู่ในยุค นายมนตรี พงษ์พานิช เป็นรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคม และมี พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี (2532-2535) 

แหล่งข่าว กล่าวอีกว่า ต่อมาโครงการดังกล่าว เกิดปัญหาจนต้องยกเลิกสัญญา ซึ่งอยู่ในช่วงยุคของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และมีนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีข้อสังเกตว่า มติ ครม.บอกเลิกสัญญา อาจมีการจงใจให้เป็นค่าโง่ที่รัฐต้องจ่ายให้เอกชน เพราะหากรัฐบาลทำการยกเลิกสัญญาแบบทั่วไป คือ ยึดตามกรอบสัญญาและ TOR ฝ่ายเอกชนจะไม่สามารถเรียกร้องค่าเสียหายจากรัฐได้ เพราะรัฐเสียประโยชน์ ทว่ามีการพลิกแพลงให้เป็นการยกเลิกสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เปิดช่องให้เอกชนยื่นฟ้องศาลแพ่ง เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายจากรัฐ ดังนั้นการกระทำดังกล่าว ถือเป็นข้อผิดพลาดที่เป็นภาระมาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งรัฐบาลชุดปัจจุบันจะดำเนินการทุกกรณี เพื่อหาตัวผู้กระทำผิดและผู้ร่วมขบวนการมารับโทษที่ได้ก่อไว้ ซึ่งแน่นอนว่าสามารถเอาผิดย้อนหลังได้

ด้านนายประภัสร์ จงสงวน อดีตผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กล่าวว่า ที่ผ่านมา รฟท.ตกอยู่ในสถานะน้ำท่วมปากทุกยุคทุกสมัย ไม่สามารถขัดขืนการกระทำที่ไม่ชอบมาพากลจากฝ่ายบริหารทั้งกระทรวงคมนาคมและรัฐบาล ตลอดจนไม่สามารถเปิดโปงต้นตอของปัญหาได้ ส่งผลให้ รฟท.ต้องเป็นฝ่ายที่พูดอะไรไม่ได้รอรับคำสั่งเพียงอย่างเดียว นั่นเป็นเพราะไม่มีใครอยากกระเด็นหลุดจากตำแหน่ง ไม่มีใครอยากมีปัญหากับผู้บังคับบัญชา จนกระทบต่อหน้าที่การงาน